พูดคะนองปากไปเรื่อย "โดนัลด์ ทรัมป์" กล่าวปราศรัยสนับสนุนอาวุธปืน แต่หยิบยกเหตุการณ์กราดยิงผู้ชมคอนเสิร์ตที่บาตากล็องที่แนวร่วมไอเอสโจมตีปารีสปี 2558 มาอ้างอิงแล้วล้อเลียนแบบผิดๆ เพื่อสนับสนุนอาวุธปืน ชาวฝรั่งเศสรวมถึงอดีตผู้นำรุมประณามประธานาธิบดีสหรัฐไม่เคารพเหยื่อการสังหารหมู่ เรียกร้องรัฐบาลตอบโต้อย่างเป็นทางการ
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกท่าทางระหว่างการปราศรัย ที่ศูนย์การประชุมเคย์เบลีย์ฮัตชิสัน ในเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2561 / AFP
วาจาเกินเลยจากข้อเท็จจริงออกจากปากประธานาธิบดีสหรัฐ คล้อยหลังการเดินทางไปเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการในระดับประมุขของรัฐของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศสเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งทรัมป์และมาครงต่างกระตือรือร้นเน้นย้ำมิตรภาพระหว่างกัน
เอเอฟพีรายงานว่า ทรัมป์กล่าวปราศรัยอย่างสนุกปากต่อสมาคมไรเฟิลแห่งชาติที่รัฐเทกซัสเมื่อวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนการครอบครองอาวุธปืน และไม่ใช่แค่การอ้างอิงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงปารีสเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 เท่านั้น ทรัมป์ยังกล่าวถึงการโจมตีที่กรุงลอนดอนของอังกฤษ ซึ่งคนร้ายใช้มีดเป็นอาวุธด้วย โดยเปรียบเทียบโรงพยาบาลในลอนดอนว่าเป็นเหมือน "สมรภูมิ"
กระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสแสดงความไม่พอใจคำกล่าวของผู้นำสหรัฐ โดยประกาศว่าฝรั่งเศสไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวของทรัมป์ และเรียกร้องให้ทรัมป์แสดงความเคารพต่อเหยื่อ ขณะที่สังคมฝรั่งเศสซึ่งรวมถึงผู้รอดชีวิตและอดีตประธานาธิบดีและอดีตนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่างประณามทรัมป์อย่างโกรธแค้นผ่านสื่อสังคมออนไลน์เช่นทวิตเตอร์
ในคำปราศรัยทรัมป์กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 ว่าจะป้องกันได้หากพลเมืองฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้ซื้อปืน
"ในกรุงปารีสไม่มีใครมีปืน และพวกเราล้วนจดจำได้ว่า คนมากกว่า 130 คน กับคนอีกมากมายก่ายกองได้รับบาดเจ็บอย่างน่าสยดสยองจริงๆ พวกคุณจะเห็นได้ว่าไม่มีใครพูดถึงพวกเขาเลย" ทรัมป์กล่าวกับผู้ฟังซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอาวุธปืน "คนเหล่านี้โดนฆ่าตายอย่างโหดร้ายโดยผู้ก่อการร้ายกลุ่มเล็กๆ ที่มือปืน พวกนั้นค่อยๆ ยิงตายไปทีละคนๆ อย่างใจเย็น"
จากนั้นผู้นำสหรัฐได้ทำท่าทำทางเลียนแบบคนร้ายชี้ปืนแล้วเรียกเหยื่อมายิงทีละคนๆ
เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นฝีมือของกลุ่มมือปืนที่ภักดีต่อกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) พวกเขาใช้อาวุธปืนไรเฟิลจู่โจมและเสื้อกั๊กระเบิดเป็นอาวุธโจมตีเป้าหมายหลายจุดในกรุงปารีสค่ำคืนนั้น ทั้งภายนอกสนามกีฬาแห่งชาติที่กำลังจัดเกมฟุตบอลทีมชาติระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี, ที่ร้านอาหารและบาร์ และที่โรงละครบาตากล็องที่จัดแสดงคอนเสิร์ตวงร็อกจากอเมริกา การก่อวินาศกรรมครั้งนั้นสังหารชีวิตคน 130 คน และบาดเจ็บมากกว่า 350 คน เป็นการก่อการร้ายครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างความบอบช้ำต่อจิตใจของชาวปารีสและชาวฝรั่งเศสทั่วทั้งประเทศ
กลุ่ม "13 องซ์ 15" ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์นั้น แสดงความขยะแขยงต่อคำกล่าวของผู้นำสหรัฐ ซึ่งเคยดูถูกเมืองหลวงแห่งนี้มาแล้วครั้งหนึ่งระหว่างการหาเสียงเมื่อปี 2559 ว่ามีคนต่างชาติและพวกหัวรุนแรงเกลื่อนเมือง ฟิลิป ดูแปรอง ผู้นำกลุ่มยังเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศสตอบโต้คำกล่าวของทรัมป์อย่างเป็นทางการ
อดีตประธานาธิบดีฟรังซัวส์ โอลลองด์ และอดีตนายกฯ มานูเอล วาลส์ ก็พากันแสดงความไม่พอใจ โอลลองด์กล่าวว่าคำพูดของทรัมป์น่าละอาย และเผยให้เห็นว่าทรัมป์คิดยังไงกับฝรั่งเศสและค่านิยมของฝรั่งเศส ส่วนวาลส์ทวีตว่าคำพูดของทรัมป์หยาบคายและไร้ค่า.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |