“ประยุทธ์” ออกโรงแจงเรื่องโควิด-19 ยันไม่ใช่ระบาดรอบ 2 ผู้ป่วยท่าขี้เหล็กไม่ใช่ซูเปอร์สเปรดเดอร์ ลงดาบใช้กฎหมายเข้มข้นสกัดผู้ลักลอบเข้าประเทศ “มหาดไทย” ทันควันสั่ง ผวจ.ทุกจังหวัดเข้ม 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะตะเข็บชายแดน ขู่ฟันวินัย-อาญาหากรู้เห็นเป็นใจ “อัศวิน” โผล่กำชับดูแลสนามมวย-ผับ “ศบค.” แถลงตัวเลขผู้ป่วยเพิ่ม 21 ราย สรุปยอดติดเชื้อจากท่าขี้เหล็ก 38 ราย โอ่เอาอยู่แน่ก่อนเทศกาลปีใหม่
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกรายการรูปแบบเล่าเรื่อง ในหัวข้อ “การรับมือกับโควิด-19” ผ่านแอปพลิเคชันพอดแคสต์ไทยคู่ฟ้า ว่า "ได้ติดตามการชี้แจงทั้งในส่วนของรัฐบาล ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งเราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีการลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ และการผ่านด่านตรวจ ซึ่งส่วนที่ผ่านมาทางด่านได้นำเข้าสถานที่กักตัวของรัฐเรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาสำคัญคือไม่เข้ามาทางช่องทางที่ถูกต้อง จึงมีการวางแนวทางคือ แนวทางที่หนึ่ง ตามแนวชายแดนได้สั่งการให้ ทหาร ตำรวจ และกองกำลังต่างๆ มีมาตรการในการสร้างเครื่องกีดขวางในระยะที่หนึ่ง เพิ่มการลาดตระเวน 24 ชั่วโมง แนวทางที่สองคือ พื้นที่กระทรวงมหาดไทย พื้นที่ตอนในเข้ามา ที่ต้องสกัดกั้น ตั้งจุดสกัดต่างๆ ให้พร้อมในการตรวจบุคคลเหล่านี้ที่จะเข้ามา และแนวทางที่สามคือ ประชาชนในพื้นที่ต้องสังเกตคนที่เข้ามาในหมู่บ้าน แม้เป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน แต่อย่าลืมว่าเขาไปทำงานที่ต่างประเทศ จึงขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ ทั้งนี้ผู้ที่ละเมิดเข้ามา หากมีความจำเป็นเราต้องบังคับใช้กฎหมายในการลงโทษ เพราะถือว่าไม่รับผิดชอบต่อคนอื่นและสังคมโดยรวม"
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า "สถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศนั้นไม่ได้อยู่ในขั้นเลวร้าย ถึงแม้ว่ามีการลักลอบเข้ามา แต่เราสามารถควบคุม ติดตาม และดูแลรักษาได้ อยู่ที่เราทุกคนต้องช่วยกัน และไม่ได้เรียกว่าการแพร่ระบาดระลอกที่สอง ไม่ใช่ซูเปอร์สเปรดเดอร์ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ส่วนใหญ่ที่ตรวจพบในตอนนี้มีการลักลอบเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเราประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านไปแล้วในการตรวจสอบคัดกรอง ช่วยกันสกัดกั้นช่องทางธรรมชาติทั้งฝั่งประเทศเราและเพื่อนบ้าน
วันนี้ผมได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาใช้ภาพถ่ายทางอากาศ หรือโดรนดูว่าช่องทางใหม่ที่ใช้เข้ามามีทางไหนอีกหรือไม่ เพื่อวางเครื่องกีดขวางและวางกำลังเพิ่มเติม นอกจากนี้ผมขอเตือนผู้ที่อยู่ในขบวนการลักลอบ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คนเหล่านี้ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอย่างหนัก เพราะถือว่าไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ลักลอบพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายทางช่องทางธรรมชาติ ส่วนเจ้าหน้าที่หากใครมีส่วนร่วมผมถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ผิดวินัยอย่างร้ายแรง รวมทั้งตำรวจ ทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย" พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า "ขออย่าตื่นตระหนก ถ้าตื่นตระหนกมากไปปัญหาของเราจะเกิดขึ้นทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การจองโรงแรม หรือมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน มาตรการต่างๆ ที่ออกมาแล้วกำลังได้ผล มีคนจำนวนหนึ่งทำให้เกิดปัญหา เราต้องหาต้นตอปัญหานี้ให้เจอ และหาวิธีการแก้ปัญหาอย่างไม่นิ่งนอนใจ และสถานการณ์โควิดปีหน้าจะดีขึ้น จากการติดตามเรื่องวัคซีน เรามีความหวังและคาดหวัง เราทำทุกอย่างอย่างดีที่สุด ถ้าช่วยกันแบบนี้แก้ปัญหาได้หมดทุกเรื่อง"
ไม่ใช่ซูเปอร์สเปรดเดอร์
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวกับประชาชนตอนหนึ่งในระหว่างลงพื้นที่ที่ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ว่าโควิด-19 วันนี้ยังประมาทไม่ได้จนกว่าจะมีวัคซีนป้องกัน คาดว่าเป็นกลางปีหน้า วันนี้ขอเตือนคนที่ข้ามไปมาตามแนวชายแดนที่ไม่ผ่านช่องทางปกติ ได้สั่งเพิ่มใช้โดรนตรวจจับได้ถึงบ้าน ลักลอบไม่ได้ ยืนยันว่าสถานการณ์วันนี้ยังไม่ใช่ซูเปอร์สเปรดเดอร์ เพราะยังรู้ที่มา รู้ตัวคน แต่อย่าประมาท เพราะวันนี้เรายังอยู่ระดับท้ายๆ ประเทศที่มีการระบาด
ทั้งนี้ ในช่วงเช้า มีการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) โดยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 3 มาตรการ โดยเฉพาะการสกัดกั้นผู้ลักลอบเข้าเมืองทางช่องทางธรรมชาติ เป็นประธานการประชุม
ต่อมาในช่วงบ่ายนายฉัตรชัยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) ทุกจังหวัดอีกครั้ง และให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจน ประกอบด้วย 1.ในพื้นที่ชายแดนให้ ผวจ.ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) ประสานการปฏิบัติ และวางมาตรการร่วมกับหน่วยทหารตรวจภายในพื้นที่ให้เข้มงวด ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ ด้วยการตั้งเครื่องกีดขวาง เพิ่มการลาดตระเวนตลอด 24 ชม. เพื่อเฝ้าระวังและสกัดกั้นป้องกันการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติ และหากพบการลักลอบให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้น
2.ในพื้นที่ตอนในให้ประสานการปฏิบัติเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค บุคคล และการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าเมืองตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และให้วางระบบการขนส่งสินค้าตามแนวชายแดน กำหนดจุดรับส่งสินค้าให้อยู่ในพื้นที่และเวลาที่กำหนด พร้อมกำหนดให้มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ประจำช่องทางผ่านแดนทุกแห่งที่มีการอนุญาตให้ใช้ในการผ่านเข้าออกของบุคคล สินค้า และยานพาหนะที่ชัดเจน ปฏิบัติงานตลอด 24 ชม.
และ 3.ในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน อาสาสมัครในพื้นที่ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนสำรวจตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน รวมทั้งบุคคลที่เคยอยู่ในหมู่บ้าน/ชุมชนแต่เดินทางไปทำงานในพื้นที่เสี่ยง หากพบให้ดำเนินการตามมาตรการของ สธ. และหากพบการละเมิดให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย ห้ามปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของ ศบค. หากฝ่าฝืนอาจเข้าข่ายความผิดวินัยหรืออาญา
ด้าน พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร.กล่าวว่า สตช.ได้เพิ่มความเข้มและกำลังพลในการตรวจเฝ้าระวัง โดยจะเน้นการตรวจเฝ้าระวังการควบคุมโรคมากกว่ามาตรการจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมือง แต่ก็ไม่ได้ละเลยการบังคับใช้กฎหมาย
กทม.เข้มสนามมวย-ผับ
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ กล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานเข้มงวดตรวจสถานประกอบกิจการที่ได้รับการผ่อนปรน โดยเฉพาะสถานที่ที่เคยพบการแพร่ระบาดมาก่อน เช่น สนามมวยและสถานบันเทิง โดยเน้นตรวจสอบ เช่น การลงทะเบียนผู้ใช้บริการก่อนเข้าและออกผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ เพื่อสะดวกในการติดตามตัวผู้เข้าข่ายในกรณีพบผู้ป่วยในสถานที่นั้นๆ รวมทั้งตรวจสอบจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และมาตรการป้องกันโควิด-19 ตามข้อกำหนดของ ศบค.และ สธ.
วันเดียวกัน ศบค.รายงานสถานการณ์โควิด-19 ในไทยว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 21 ราย ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 4,107 ราย ยอดหายป่วยสะสม 3,868 ราย มีผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล 179 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 60 ราย
ส่วน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค สธ. แถลงถึงผลการสอบสวนโรคโควิด-19 จาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา? ว่าตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. มีผู้ติดเชื้อเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ 38 คน โดยในวันที่ 7 ธ.ค.63 จ.เชียงรายตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 6 คน เป็นเพศหญิงทั้งหมด ซึ่งในผู้ติดเชื้อ 38 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2 คน โดยมีประวัติใกล้ชิดผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากประเทศเมียนมา พบใน จ.เชียงราย 1 คน และสิงห์บุรี 1 คน โดยเกินกว่าครึ่งตรวจพบในสถานที่กักกันโรคที่รัฐจัดให้ ขณะนี้ทุกคนเข้าสู่การดูแลของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครองกักตัว 14 วัน ตรวจหาเชื้อ 2 ครั้ง
โดยสถานบันเทิง จ.ท่าขี้เหล็ก ซึ่งพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากนั้นอยู่ห่างจากชายแดน อ.แม่สาย 1.5 กิโลเมตร โดยมีคนไทยไปทำงานหลายร้อยคน แต่เมื่อพบการติดเชื้อก็ได้ถูกสั่งปิดเมื่อวันที่ 24 พ.ย.63
นพ.โสภณกล่าวอีกว่า ผลการสอบสวนเพิ่มเติมของผู้ติดเชื้อ 2 คนในประเทศนั้น คนแรกเป็นเพศชาย (สาวประเภทสอง) อายุ 30 ปี เดินทางไปทำงานท่าขี้เหล็กกับเพื่อนหญิงไทยอายุ 26 ปี พบป่วยติดเชื้อทั้ง 2 คน และพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 22 คน กลุ่มเสี่ยงต่ำ 69 คน รวม 91 คน ส่วนผู้สัมผัสกับผู้ป่วยเพศหญิงอายุ 51 ปี ชาวสิงห์บุรี มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจากสอบสวนพบผู้สัมผัส 55 คน แบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง 37 คน ผลตรวจ 32 คนไม่พบเชื้อ ซึ่งเป็นสมาชิกในครัวเรือน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน และร้านตัดเสื้อ ซึ่งอยู่ขั้นตอนการเฝ้าระวังโรค 14 วัน ส่วนกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำอยู่ร่วมกันในสนามบิน โรงแรม และโรงพยาบาล 2 แห่ง ทั้งนี้ผู้ป่วยอยู่บนเครื่องบินนั่งห่างกับผู้ป่วยที่ลักลอบเดินทางกลับมาจากเมียนมาถึง 8 แถว จึงไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบปัจจัยเสี่ยงอยู่ในสนามบินระหว่างเดินกลับจากห้องน้ำ เนื่องจากสวมหน้ากากไม่ถูกต้อง โดยสวมหน้ากากไว้ที่ใต้คาง ซึ่งขณะนี้สนามบินปรับระบบเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องแล้ว
ไฟเขียวต่างชาติอยู่ 45 วัน
ทั้งนี้ในช่วงเช้า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เป็นประธานหารือถึงการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อหารือถึงกรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากการลักลอบเข้าเมือง และการผ่อนคลายมาตรการการออกวีซ่าของกระทรวงการต่างประเทศ โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
จากนั้นเวลา 12.20 น. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงว่า สถานการณ์โควิด-19 ของไทยผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศและอยู่ในสถานกักกัน ส่วนที่มีการติดเชื้อภายในประเทศถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะกรณีผู้ติดเชื้อจาก จ.ท่าขี้เหล็ก เมียนมาที่กระจายไปใน 7 จังหวัดนั้น ทุกจังหวัดควบคุมสถานการณ์ได้ดี แต่ขอเน้นย้ำประชาชนว่าการ์ดอย่าตก และสิ่งที่อยากขอให้ประชาชนช่วยภาครัฐ เจ้าของบ้านเช่า เจ้าของบ้านพัก เจ้าของโรงแรม เจ้าของสถานประกอบการ เจ้าของสถานบันเทิง หากพบใครกลับมาจากท่าขี้เหล็กแล้วยังไม่ผ่านการกักตัว ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทันทีเพื่อตรวจสอบ
“จังหวัดต่างๆ ควบคุมโรคได้ดี ปลอดภัย สามารถเดินทางไปได้ ท่องเที่ยวได้ทั้งเชียงใหม่และเชียงราย มั่นใจว่าเราควบคุมสถานการณ์ได้ และหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะจบก่อนเทศกาลปีใหม่” นพ.โอภาสกล่าว
ด้านนายจาตุรนต์ ไชยะคำ รองอธิบดีกรมการกงสุล กล่าวว่า ตั้งแต่ ก.ค.63 ได้ผ่อนคลายมาตรการให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศเป็นระยะ จากนักธุรกิจ ครอบครัวคนไทย และผู้ที่เข้ามารักษาพยาบาล ที่ผ่านมาเราได้ออกเอกสารอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ หรือ Certificate of Entry (COE) จนถึงเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. รวม 6,700 ราย ซึ่งในวันที่ 7 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้นโยบายและสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยได้เพิ่ม กต.จึงได้เสนอที่ประชุมเพื่อให้นายกฯ เห็นชอบเพิ่มเติมกรณีของผู้ที่เข้ามาเพื่อการท่องเที่ยว เดิมอนุญาตให้เข้ามา 30 วันจาก 56 ประเทศ รวมถึงประเทศรัสเซีย โดยที่ประชุมได้เสนอให้อยู่ในประเทศไทยได้ 45 วัน โดยใน 45 วันนี้ได้รวมเวลาในการกักตัว 14 วันด้วย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเรามั่นใจว่ามาตรการสาธารณสุขควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้
“กทม.มีโรงแรมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 15,000 ห้อง จึงเพียงพอรับนักท่องเที่ยวเข้ามาวันละ 1,000 คน แม้ไม่ได้ทำวีซ่าเข้าประเทศ เราก็มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กำหนดให้คนที่จะเดินทางเข้ามาต้องผ่านการตรวจโรคและเข้ามากักตัว พร้อมขอเอกสาร COE ซึ่งปัจจุบันมีคนต่างชาติเข้ามาไทยรวม 45,000 คน เราหวังว่าจากมาตรการนี้จะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาได้เดือนละมากกว่า 20,000 คน" นายจาตุรนต์ระบุ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |