7 ธ.ค.2563 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงประโยชน์ที่ไทยจะได้รับกรณีการแบ่งปริมาณโควตาสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (อียู) และไทยกับสหราชอาณาจัก (ยูเค) จากการที่ยูเคออกจากการเป็นสมาชิกอียู (เบร็กซิต) ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.64 เป็นต้นไป สินค้าเกษตรไทยกว่า 30 รายการ ที่เคยได้โควตานำเข้าเป็นการทั่วไปจากอียู 28 ประเทศ (รวมยูเคก่อนเบร็กซิต) จะมีการแบ่งโควตานำเข้าจากไทยแบบที่สะท้อนปริมาณการส่งออกที่แท้จริงของไทยไปอียูและยูเค เช่น สินค้าชนิดนี้ นำเข้ายูเคมากกว่าอียู ก็จะได้รับโควตาจากยูเคมากกว่า แต่สินค้าใดที่นำเข้าไปอียูมากกว่ายูเค ก็จะได้รับโควตาให้นำเข้าอียูมากกว่ายูเค แต่เมื่อรวมโควตาทั้ง 2 ส่วนแล้ว จะไม่น้อยกว่าโควตาเดิมที่ไทยเคยได้รับจากอียูก่อนเบร็กซิต

โดยการจัดสรรโควตาใหม่แยกเป็น 2 ตลาด จะช่วยให้ประหยัดมูลค่าภาษีนำเข้าที่ผู้นำเข้าสินค้าไทยจะต้องจ่าย โดยจะเสียภาษีน้อยลง 2,139 ล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับมูลค่าภาษีที่ต้องจ่ายตามการแบ่งโควตาที่อียูและยูเคเสนอมา และยังทำให้ไทยทราบปริมาณโควตาที่แน่นอนที่อียูและยูเคจัดสรรให้ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้ส่งออกไทยว่าจะได้โอกาสทางการค้าและตลาดที่แน่นอน รวมทั้งสามารถปรับตัววางแผนการส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญ สินค้าบางรายการ เมื่อเบร็กซิตแล้ว ยูเคได้ปรับลดภาษีนำเข้าลง ซึ่งจะช่วยให้ไทยส่งออกไปยูเคได้มากขึ้น  

นางอรมนกล่าวว่า สินค้าที่ไทยได้โควตาเป็นการทั่วไป เช่น ชิ้นส่วนไก่สดแช่เย็นจนแข็ง ได้โควตารวมจากอียูก่อนเบร็กซิต  15,500 ตัน หลังเบร็กซิต แบ่งเป็นอียู 13,471 ตัน ยูเค 2,029 ตัน , ข้าวที่สีบ้างแล้วหรือสีทั้งหมด จะขัดหรือไม่ขัดก็ตาม 63,000 ตัน เป็นอียู 36,731 ตัน ยูเค 26,269 ตัน , ข้าวหัก 100,000 ตัน เป็นอียู 93,709 ตัน ยูเค 6,291 ตัน , พาสต้า (เส้นก๋วยเตี๋ยว) 532 ตัน เป็นอียู 497 ตัน ยูเค 35 ตัน , กุ้งแช่เย็น แช่แข็ง 500 ตัน เป็นอียู 474 ตัน ยูเค 26 ตัน , อาหารสำเร็จรูป 921 ตัน เป็นอียู 702 ตัน ยูเค 219 ตัน เป็นต้น 

นอกจากนี้ ยังมีสินค้า 7 รายการที่ไทยได้โควตาเฉพาะ โดยไม่ต้องแข่งกับประเทศผู้ส่งออกอื่น โดยไก่หมักเหลือ โควตารวมที่ได้จากอียูก่อนเบร็กซิต 92,610 ตัน หลังเบร็กซิต แบ่งเป็นอียู 81,968 ตัน ยูเค 10,642 ตัน,  ไก่ปรุงสุก ก่อนเบร็กซิต 160,033 ตัน หลังเบร็กซิต แบ่งเป็นอียู 53,866 ตัน ยูเค 106,167 ตัน , เนื้อไก่แปรรูป 14,000 ตัน เป็นอียู 2,435 ตัน ยูเค 11,565 ตัน , แป้งมันสำปะหลัง 8,000 ตัน เป็นอียู 6,632 ตัน ยูเค 1,368 ตัน , ข้าวกล้อง 1,634 ตัน เป็นอียู 1,416 ตัน ยูเค 218 ตัน , ข้าวที่สีบ้างแล้วหรือสีทั้งหมด จะขัดหรือไม่ขัดก็ตาม 4,313 ตัน เป็นอียู 3,663 ตัน ยูเค 650 ตัน , ปลาทูน่าแปรรูป 1,816 ตัน เป็นอียู 1,816 ตัน ยูเคไม่มีโควตา 

“การเจรจาจัดสรรโควตาสินค้าเกษตรนี้ เป็นไปตามระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) ตามความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (แกตต์ 1994) เมื่อยูเคออกจากอียู ทำให้ทั้งอียูและยูเค ต้องเจรจากับประเทศสมาชิก WTO อื่นๆ ที่เคยได้ประโยชน์จากโควตานำเข้าของอียูก่อนเบร็กซิต อีกทั้งอียูและยูเค จะต้องทำข้อผูกพันปริมาณโควตาของตนเองกับสมาชิก WTO ด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้สิทธิประโยชน์ของสมาชิก WTO อื่นได้รับผลกระทบ โดยไทยส่งออกสินค้าเกษตรภายใต้โควตาไปอียูและยูเคกว่า 30 รายการ ทำให้ไทยมีสิทธิเจรจากับอียูและยูเค โดยไทยได้เจรจากับอียูและยูเคตั้งแต่ต้นปี 2562 และสรุปผลการเจรจาได้เมื่อเดือนก.ย.2563 จากนั้นได้นำผลการเจรจาเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา และได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2563 ที่ผ่านมา”นางอรมนกล่าว

ในปี 2562 ไทยมีการค้ากับอียู มูลค่า 1,158,660 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการค้ากับยูเค 230,766 ล้านบาท หรือ 14% ของมูลค่าการค้าไทยกับอียู ส่วนในช่วง 10 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-ต.ค.) ไทยมีการค้ากับอียู 983,241 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการค้ากับยูเค 127,946 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังอียู ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญไปยูเค ได้แก่ ไก่แปรรูป รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง