“วิษณุ” ยันรัฐบาลจบเรื่องบ้านพักหลวงแล้ว แต่เป็นสิทธิถ้าใครจะร้อง แจงยิบ รธน.เปิดช่องให้ออกระเบียบให้อดีต ผบ.ทบ.ที่ทำคุณงามความดีอยู่บ้านพักได้จึงไม่ใช่กรณีพิเศษ โฆษก ทบ.พิงคำวินิจฉัยของศาล รธน.ที่ผูกพันทุกองค์กร "เพื่อไทย" จี้ "ประยุทธ์" แสดงสปิริตย้ายออกจากบ้านหลวง แพลมรวบรวมข้อมูลเตรียมซักฟอกแน่ "แก้วสรร" ฟันธงม็อบมุ้งมิ้งถึงทางตันต้องกลับไปซ่องสุมในโลกไซเบอร์ ส่วน "ลุงตู่" ก็บ่นซ้ำซากแบบเดิมๆ
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 4 ธันวาคม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ไม่มีความผิดกรณีอยู่บ้านพักหลวง ว่า เรื่องนี้เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาถือว่าจบแล้ว แต่ใครจะร้องก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ส่วนที่เขาร้องไปยังกรรมาธิการแล้วจะรับเรื่องหรือไม่นั้น ต้องไปถามที่กรรมาธิการ ส่วนจะไปร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้หรือไม่นั้นตนไม่มีความเห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ระเบียบกองทัพบกไม่มีกฎหมายรองรับจริงหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า มีกฎหมายรองรับ แต่ให้ไปถามรายละเอียดที่กองทัพบก และไม่จำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพราะเป็นระเบียบภายในที่ออกมาตั้งแต่ปี 2548 ที่มีอำนาจในการจัดสวัสดิการภายใน ทั้งนี้ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วมีผลผูกมัดทุกองค์กรทั้งปวงก็ต้องตอบว่าจบใคร ที่เห็นว่าไม่จบจะไปร้องต่อก็ไม่ได้ว่าอะไร เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ จะรายงานสภา จะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือจะส่งให้ ป.ป.ช. หรือจะส่งศาล หรือจะทำอย่างไรก็แล้วแต่
“ก็เราเป็นผู้ต้องหา เป็นจำเลย จะบอกว่ายกฟ้องแล้วไม่จบ ก็คงเป็นจำเลยที่แปลก แต่ถ้าโจทก์ร้องว่าผิดศาลบอกยกฟ้องไม่ผิดโจทก์บอกไม่จบก็อุทธรณ์ ฎีกาได้ แต่บังเอิญว่าคดีนี้ไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา เมื่อไม่จบจะไปอย่างไรก็ช่างคุณ”
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการยกระเบียบกองทัพบกมาบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความผิด เป็นการทำให้ระเบียบใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ รองนายกฯ กล่าวว่า ศาลไม่เคยบอกว่าอะไรสูงกว่า คำตอบมีอยู่ชัดทั้งหมด หากไปอ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็มของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเริ่มต้นเขาร้องว่าผิดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 184(3) ที่ระบุว่า ไม่ให้รับเงินหรือสิทธิใดๆ จากหน่วยงานของรัฐเป็นกรณีพิเศษ เว้นแต่จะเป็นการรับซึ่งหน่วยงานนั้นได้ปฏิบัติต่อบุคคลทั่วไปในธุรกิจการงานปกติ ดังนั้นถ้าเริ่มต้นด้วยการรับอะไรที่ไม่พิเศษก็รับได้ ที่รับได้นั้นรับตามระเบียบ แต่ระเบียบนั้น มาตรา 184 (3) อนุญาตให้ออก ดังนั้นอะไรที่เป็นกรณีพิเศษต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป เมื่อมีการออกระเบียบให้สามารถทำได้มันก็ไม่ใช่กรณีพิเศษ เฉกเช่นทำไมนายกฯ ไปอยู่บ้านพิษณุโลกได้ ก็ถือเป็นการรับสิทธิประโยชน์จากส่วนราชการไม่ใช่หรือ คำตอบก็คือใช่ไม่กรณีพิเศษ ใครที่เป็นนายกฯ ก็อยู่ได้ทุกคน ใครเป็นรัฐมนตรีก็ได้รับเงินเดือนทุกคน การเข้าอยู่บ้านพักหลวงของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
คำวินิจฉัยผูกพันทุกองค์กร
“หากอ้างว่าเป็นนายกฯ อยู่บ้านพิษณุโลกได้ แต่อยู่บ้านพักทหารไม่ได้ เพราะนายกฯ คนอื่นไม่มีสิทธิ์อยู่บ้านพักทหาร แต่ระเบียบกองทัพบกให้สิทธิอดีต ผบ.ทบ.ที่ทำคุณประโยชน์อยู่ ก็เหมือนกับการให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นอดีต ผบ.ทบ.ก็อยู่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ได้ และอดีต ผบ.ทบ.หลายคนอยู่บ้านเกษะโกมลได้ คำว่าบ้านหลวงของทหารนั้นต่างจากข้าราชการทั่วไป เพราะต้องแบ่งเป็นสองประเภท และไม่ได้เพิ่งมีความหมายตอน พล.อ.ประยุทธ์ถูกฟ้อง เพราะมีมาตั้งแต่ปี 2548 โดยแบ่งเป็นบ้านพัก คนที่ดูแลคือกรมสวัสดิการทหารบก มีสิทธิให้ข้าราชการเข้าอยู่ได้ ออกค่าน้ำค่าไฟเอง เมื่อพ้นจากตำแหน่งต้องย้ายออก และบ้านรับรองหรือบ้านพักรับรองที่ไม่มีการระบุระยะเวลาที่ต้องออก คล้ายกับบ้านพักประจำตำแหน่งไม่มีอยู่ ในอำนาจกรมสวัสดิการกองทัพบก แต่อยู่ในอำนาจของผบ.ทบ.คนเดียวเท่านั้น และให้ได้เฉพาะ ผบ.ทบ.หรืออดีต ผบ.ทบ. และต้องทำคุณงามความดีให้กับกองทัพบก เมื่อ ผบ.ทบ.อนุญาตแล้วก็เป็นบ้านรับรองจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ และสามารถจัดสิทธิ ประโยชน์ค่าน้ำค่าไฟ ยาม และสิ่งอื่นให้” นายวิษณุกล่าว
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. ยื่นหนังสือตรวจสอบกรณีการให้ พล.อ.ประยุทธ์รับผลประโยชน์เกิน 3,000 บาท กรณีบ้านพักรับรองกองทัพบกว่า เรื่องนี้เป็นไปตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่จะผูกพันทุกองค์กร ซึ่งชัดเจนอยู่แล้ว
นายประชา ประสพดี อดีต รมช.มหาดไทย และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้ไปต่อด้วยระเบียบของกองทัพบก มีคุณงามความดีสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ แต่ก่อนอื่นควรแสดงสปิริตด้วยการรีบย้ายออกจากบ้านพักดังกล่าว เพราะยังมีข้อครหามากมาย และคนยังสงสัยคาใจที่สำคัญเป็นการเบียดเบียนทหาร ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่อยู่ในราชการ เขาควรเป็นคนที่ได้พักในบ้านพื้นที่ทหารมากกว่า คนเป็นนายกฯ ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ รวมถึงจริยธรรม แล้วจากนั้นก็ขอให้รีบสะสางปัญหาบ้านเมือง
“ที่ว่าคนที่สร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์ให้บ้านเมืองสามารถอยู่บ้านพักรับรองได้ กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ สร้างบรรทัดฐานให้คนที่ทำประโยชน์ให้บ้านเมือง ต่อไปผู้ว่าราชการจังหวัดก็อยู่จวนผู้ว่าฯ ได้ต่อไปเรื่อยๆ ผู้พิพากษาก็ต้องอยู่ต่อ ผู้การตำรวจก็ใช่ ปลัดกระทรวง กำนัน นายก อบจ. อบต. คนเหล่านี้สร้างประโยชน์ทั้งนั้น ต่อไปต้องตั้งงบประมาณมาสร้างบ้านกันยกใหญ่ บ้านพักเต็มเมืองเปลืองภาษีประชาชน” นายประชากล่าว
ฝ่ายค้านจ่อซักฟอก
นายวัฒนา เมืองสุข กลุ่มสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ที่นิติกรของศาลรัฐธรรมนูญไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญและส่วนราชการทุกส่วนพึงสำเหนียกคือประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งรวมถึงอำนาจที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการวินิจฉัยคดีด้วย การที่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจของตน ย่อมเป็นสิทธิโดยชอบที่จะกระทำได้ ถึงแม้การวิจารณ์จะเกินเลยไปบ้าง ก็ต้องย้อนกลับมาดูสิ่งที่ตนได้กระทำว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น อันเป็นไปตามหลักที่ว่า “ผลเกิดแต่เหตุ”
"แทนที่จะมาแจ้งความปิดปากประชาชน สิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญควรทำคือการชี้แจงและทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อให้มีความเข้าใจแนวคิดและคำวินิจฉัยของศาล ทัศนคติของศาลที่มีต่อประชาชนจึงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่ารัฐราชการที่ประยุทธ์วางไว้กำลัง แสดงฤทธิ์เดชกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ เรื่องนี้คือฟางเส้นสุดท้ายทางการเมืองที่ต้องรีบแก้ไข ทางออกของประเทศจึงเหลือทางเดียวคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นโดย ส.ส.ร. เพื่อสร้างกติกาของประเทศนี้ใหม่ให้อยู่บนหลักนิติธรรม สร้างรัฐที่เป็นของประชาชน แทนรัฐราชการที่ประยุทธ์ใช้เป็นเครื่องมือกดหัวประชาชน" นายวัฒนาระบุ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เราต้องนำข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นไปตรวจสอบให้ชัดเจนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ถ้าเข้าข่ายผิดกฎหมายก็จะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่การประชุมสภาสมัยนี้สามารถยื่นญัตติได้ถึงเดือน ก.พ. ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเรื่องต่างๆ อยู่ ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งบประมาณที่ไม่ชอบมาพากลอยู่พอสมควร หากได้รายละเอียดครบถ้วนจะนำไปซักฟอกรัฐบาลในสภาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ขออุบไว้ก่อน ใกล้ถึงเวลาอภิปรายจะมีการเปิดเผยต่อไป แต่รับรองว่าฝ่ายค้านมีข้อมูลเด็ดแน่นอน ทั้งในส่วนของนายกฯ และรัฐมนตรีคนอื่นๆ
ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า การประชุม กมธ.วันที่ 9 ธ.ค. ได้เชิญตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมมาให้ข้อมูล เช่น น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และนายอานนท์ นำภา รวมไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมาทำความเข้าใจร่วมกัน การชุมนุมที่ผ่านมาแม้จะเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมาย แต่ก็พบการละเมิดกฎหมาย วันนี้ผู้ชุมนุมไม่ใช่นักศึกษาแล้ว มีแต่คนเสื้อแดงเป็นส่วนใหญ่ที่หวังผลแต่เรื่องการเมืองเป็นหลัก ไม่ได้หวังผลเรื่องการปฏิรูป จึงขอให้หยุดได้แล้ว เพราะประชาชนเดือดร้อน
"ส่วนตัวสงสัยว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้นมีการต่อรองเรียกรับผลประโยชน์หรือไม่ เพราะการชุมนุมที่ราชประสงค์และแยกลาดพร้าวซึ่งเป็นย่านธุรกิจ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงสงสัยว่าการชุมนุมแต่ละครั้งใช้งบประมาณเท่าไหร่ ถ้าอยากให้นายกฯลาออก ก็สามารถเอาหลักฐานการทุจริตของนายกฯ มาให้ผม ผมจะจัดการเอง ถามว่าวันนี้ชุมนุมมาหลายเดือนแล้วมีหลักฐานหรือไม่ว่านายกฯ ทุจริตอย่างไร ถ้าไม่มีหลักฐานก็เลิกการชุมนุมได้แล้ว หรือเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ปัจจุบันรัฐสภาดำเนินการแล้ว แต่เวลานี้กลับมีกระบวนการจาบจ้วงสถาบันทุกวัน ขอร้องให้ตำรวจดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจัง" นายสิระกล่าว
ม็อบมุ้งมิ้งถึงทางตัน
วันเดียวกัน นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง รู้จัก “มวลชนปลดแอก 2563” โดยยกหนังสือ “The True Believer ”ของ Eric Hoffer หรือ “กำเนิดมวลชนปฏิวัติ” มาอธิบายกำเนิด “มวลชนปลดแอก” ในเมืองไทย ปี 2563 สรุปว่า คสช. หรือคณะทหารที่เข้ากระทำรัฐประหาร รัฐธรรมนูญใหม่ คสช.ก็ได้ระบบสืบทอดอำนาจสมดังใจ โดยไม่ยอมลงแรงแก้ปัญหารากฐาน ไม่ใช้อำนาจคณะปฏิวัติปฏิรูปโครงสร้างประชาธิปไตยใหม่ให้บ้านเมืองไม่ให้เผด็จการ พรรคการเมืองนายทุนแบบชินวัตรกลับมาอีก คือภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่ละทิ้งมากว่า 10 ปีโดยไร้สำนึก คสช.คือ “คณะเสียเวลาแห่งชาติ” ที่สืบอำนาจ มอบระเบิดเวลาให้แก่บ้านเมืองเกิดเป็นวิกฤติใหม่ชัดเจนแล้วในทุกวันนี้
นายแก้วสรรระบุว่า คนผิดหวังในตัวตนในชีวิตปรกติ ที่อาจพลัดเข้าไปหาความหวังใหม่ในชีวิตมวลชนปฏิวัติได้ มวลชนเสื้อแดงทุกวันนี้ก็ยังคงดำรงอยู่ และได้เริ่มเข้าสมทบร่วมชุมนุมกับมวลชนปลดแอกอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังแล้วด้วย ในส่วน "มวลชนปลดแอก 2563” ที่เพิ่งเปิดหน้าประกาศปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ โดยยืมปากเด็กกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมนั้น แท้จริงก็ก่อตัวจัดตั้งกันในโลกโซเชียลมาตั้งแต่รณรงค์เลือกตั้งเพื่อพรรคอนาคตใหม่แล้ว คือการใช้เทคนิคจัดตั้งมวลชนปฏิวัติไม่ต่างจากพรรคนาซีเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 กรณีมวลชนปลดแอก ที่โบกธงรบผ่านปากเด็กธรรมศาสตร์เมื่อ 10 สิงหาคม โดยปรากฏเป็นคำประกาศปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อนั้น ก็ชัดเจนว่าต้องการเชิดชูให้สถาบันกษัตริย์ตกเป็นเป็นจำเลยแห่งความชั่วร้าย
การซ่องสุมจัดตั้งที่อยู่แต่ในโลกโซเชียลไม่มีแม้กระทั่งหน้าตาของผู้นำ ไม่มีทั้งชัยชนะทางยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธี มีแต่ความเกลียดชังร่วมกันในหัวอก และกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ มุ้งมิ้งกันเองเป็นรายอาทิตย์ ท่ามกลางเสียงด่าพ่อล่อแม่ของผู้คนที่เดือดร้อน บูลลี่ทุกคนที่ไม่สนับสนุนจนโดดเดี่ยวตนเองขึ้นทุกทีๆ เช่นนี้
ตัวอย่างในต่างประเทศของมวลชนที่ลุกฮือโผล่ออกมาจากโลกโซเชียล แล้วสามารถล้มล้างระบอบการปกครองได้จริงๆ ก็เห็นจะมีแต่ตัวอย่างของ “อาหรับสปริง” ในอียิปต์ ครั้นมาเปรียบเทียบกับเมืองไทย พบว่าขนาดและคุณภาพความเลวทรามของสถาบันอำนาจยังไม่เพียงพอที่จะปลุกปั่นสร้าง “ไทยสปริง” ขึ้นมาได้ ในสภาวะอับจนหนทางต่อสู้ในท้องถนนเช่นนี้ ฝ่ายนำของมวลชนปลดแอกจะหาทางปรับตัวเพื่อยืนระยะต่อไปได้อย่างไร ก็นับเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ส่วนเรื่องการขยายแนวร่วมปฏิวัติต่อไปยังมวลชนอื่นก็ยิ่งจะดูไกลเกินฝัน
"เมื่อผิดทั้งภาววิสัย ทั้งยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ทั้งการนำที่ลับๆ ล่อๆ ซุ่มซ่ามเหิมเกริมไปชู ธงปฏิวัติล้มเจ้า โดยฝันกลางวันเอาเองว่าจะเกิด 'ไทยสปริง' เช่นนี้ ทางตันตรงหน้าจึงเป็นคำตอบที่เห็นกับตาแล้ว จนในที่สุดก็ชัดเจนว่าจะต้องกลับไปซ่องสุมโดยสงบแต่ไม่ย่อท้อในโลกไซเบอร์ของตน เพื่อรอโอกาสเคลื่อนไหวใหม่ เชื่อได้ว่าจะต้องมียุทธศาสตร์ใหม่ ด้วยมวลชนที่ปรับแต่งใหม่แล้วอย่างแน่นอน ส่วนตัวนายกฯ เก่าคือลุงตู่นั้น ก็จะบ่นซ้ำซากไปแบบเดิมๆ ว่าเหนื่อยจนย่อท้อ แล้วก็ขอ อยู่เพื่อขู่โควิด 2564 ต่อไปอีกเช่นกัน" นายแก้วสรรระบุ
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก "เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH" ซึ่งเป็นเพจหลักที่คอยสั่งการม็อบเคลื่อนไหวชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ โพสต์ข้อความปลุกระดมแนวคิดการปกครองแบบสาธารณรัฐ ระบุว่า “รัฐที่มหาชนเป็นใหญ่” สาธารณรัฐ (Republic) เป็นรูปแบบการปกครองที่แพร่หลายทั่วโลก เน้นการกระจายอำนาจการปกครอง ผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม มิใช่ตกทอดทางสายเลือด ไม่มีเลือดสีน้ำเงิน ไม่มีเลือดสีอื่นใด มีเพียง “สีแดง” “มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีมนุษย์คนไหนพึงมีสิทธิแต่กำเนิดในอันที่จะยกยอตระกูลของตนให้มีอภิสิทธิ์ถาวรเหนือคนทั้งปวงตลอดไป” -Thomus Paine เพื่อประโยชน์สุข แก่มหาชนชาวสาธารณรัฐ ในสาธารณรัฐ เสียงของประชาชนจะดังก้องฟ้า แต่สาธารณรัฐจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากประชาชนผู้ลุกขึ้นปลดเปลื้องพันธนาการทั้งปวง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |