ติดเชื้อในปท.ขยับ! โควิดนำเข้าพ่นพิษยอดพุ่ง ศบค.จ่อทบทวนผ่อนคลาย


เพิ่มเพื่อน    

 

โควิดในไทยพุ่งรายวัน! ศบค.พบป่วยใหม่ 14 ราย เชียงรายเพิ่ม 3 ราย ชายวัย 28 ติดเชื้อในประเทศ สัมผัสใกล้ชิดหญิงพะเยามากกว่า 48 ชม. ส่วนอีก 2 สาวเจอที่ด่านแม่สาย  เชียงใหม่ป่วน ดีเจ 1G1 นำเข้าเชื้อจากพม่าอีกราย สธ.พบหญิงวัย 51 ปีที่สิงห์บุรีติดโควิด ไปเที่ยวงานฟาร์มเฟสติวัล นั่งเครื่องบินไฟลต์เดียวกับผู้ป่วยเคส กทม.-พิจิตร
    เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยประจำวันว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ 14 ราย ซึ่งมีผู้ติดเชื้อในประเทศ 1 ราย ทั้งนี้ ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,053 ราย ส่วนผู้ที่รักษาหายแล้วเพิ่ม 7 ราย จึงมียอดสะสมผู้ที่ได้รับการรักษาหายแล้ว 3,839 ราย มียอดสะสมผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 60 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 154 ราย
        สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 14 ราย แบ่งเป็น 10 รายแรกที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ในสถานกักกันของรัฐ ได้แก่ ผู้ที่มาจากประเทศเนปาล 1 ราย เป็นชายสัญชาติเนปาล อายุ 46 ปี อาชีพพนักงานบริษัท, ผู้ที่มาจากประเทศเช็ก 1 ราย เป็นชายสัญชาติเช็ก อายุ 71 ปี, ผู้ที่มาจากประเทศเยอรมนี 2 ราย เป็นหญิงสัญชาติเยอรมัน อายุ 68 ปี อีกรายเป็นหญิงไทย อายุ 41 ปี อาชีพแม่บ้าน, ผู้ที่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา 3 ราย ได้แก่ หญิงไทย อายุ 30 ปี อาชีพวิศวกร รายที่ 2 ชายสัญชาติอเมริกัน อายุ 31 ปี อาชีพพนักงานบริษัท รายที่ 3 นักศึกษาชายไทย อายุ 32 ปี, ผู้ที่มาจากประเทศยูเครน 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 45 ปี, ผู้ที่มาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 33 ปี, ผู้ที่มาจากประเทศนอร์เวย์ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 36 ปี อาชีพพนักงานนวด
        ส่วนผู้ที่มาจากประเทศเมียนมา 3 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 23, 24, 25 ปี อาชีพพนักงานในสถานบันเทิง ทั้งหมดเดินทางเข้าประเทศไทยตามเส้นทางธรรมชาติ รักษาตัวที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ และผู้ติดเชื้อในประเทศ 1 ราย ที่ จ.เชียงราย เป็นชายไทย อายุ 28 ปี อาชีพพนักงานในสถานบันเทิง เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์
    ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์โรคโควิดว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เดินทางมาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2563 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 13 ราย เดินทางเข้าช่องทางธรรมชาติ 10 ราย (เชียงใหม่ 3 ราย, เชียงราย 3 ราย, กรุงเทพมหานคร 1 ราย, พะเยา 1 ราย, พิจิตร 1 ราย และราชบุรี 1 ราย) และเข้ามาตามระบบ เป็นชาวเชียงรายทั้ง 3 ราย ผู้ที่เดินทางกลับเข้ามามีความเสี่ยงรับเชื้อมาด้วย จึงขอให้คนไทยในฝั่งท่าขี้เหล็กแจ้งรายชื่อ ขอเดินทางกลับประเทศไทยอย่างถูกต้อง ซึ่ง จ.เชียงรายได้จัดเตรียมสถานที่กักกันโรคหลายร้อยห้องรองรับ หากเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติ จะมีการตรวจจับดำเนินคดีตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะตรวจตราเข้มตามแนวชายแดน มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ช่วยเฝ้าระวังตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงประชาชนช่วยกันเฝ้าระวัง หากพบผู้เดินทางกลับมาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้ผ่านการกักกัน 14 วัน ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือ อสม.ทันที
    “ส่วนผู้ที่เดินทางกลับมาจากเชียงใหม่และเชียงราย ถ้าไม่ได้อยู่สถานที่เดียวกับผู้ป่วย ถือว่าไม่มีความเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องกักตัว ในกรณีนักเรียนที่ไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่ไม่ใช่พื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อ การให้กักตัวถือว่าเป็นมาตรการที่เกินความจำเป็น สำหรับการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ จ.กำแพงเพชร ชายไทยอายุ 49 ปี ผลตรวจพบปริมาณสารพันธุกรรมน้อยและมีภูมิคุ้มกันขึ้นแล้ว แสดงว่าติดเชื้อมานาน และผู้สัมผัสใกล้ชิดผลการตรวจเป็นลบ จึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการปิดโรงเรียน” นพ.โอภาสกล่าว และย้ำว่าการให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ง่ายขึ้นในการสอบสวนควบคุมโรค เพราะทั้ง 10 คนนี้ให้ข้อมูลที่แท้จริงแค่ร้อยละ 50 ซึ่งการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเท่ากับทำลายประเทศ
ติดเชื้อในประเทศ 2 ราย
    ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ผู้สัมผัสของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้ามาทางเส้นทางธรรมชาติที่ จ.เชียงราย จำนวน 10 รายนั้น ได้ทำการตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสมากกว่า 250 ราย ส่วนใหญ่ให้ผลเป็นลบ แต่มีชายไทยอายุ 28 ปี อาชีพพนักงานสถานบันเทิงในจังหวัดเชียงรายที่ติดเชื้อจากการสอบสวนโรค พบว่า วันที่ 28 พ.ย. ได้ไปพบผู้ติดเชื้อของ จ.พะเยา ที่เดินทางกลับมาจากท่าขี้เหล็กพร้อมเพื่อนอีก 2 คน และพักห้องเดียวกัน ช่วงเย็นไปทำงานร้านอาหารตามปกติ, วันที่ 29 พ.ย. ได้รับประทานอาหารด้วยกัน ไปเที่ยวงานฟาร์มเฟสติวัลที่สิงห์ปาร์ค กับกลุ่มเพื่อนดังกล่าว ในเวลา 19.30 น. ในโซนซี คาดว่านั่งโต๊ะที่ 41, วันที่ 30 พ.ย. ไปเที่ยวสถานบันเทิง และเดินทางต่อไป จ.เชียงใหม่กับเพื่อนด้วยรถส่วนตัว, วันที่ 1 ธ.ค. เดินทางกลับ จ.เชียงรายด้วยรถโดยสารประจำทาง ช่วงเย็นไปทำงานตามปกติ, วันที่ 2 ธ.ค. เริ่มมีอาการเจ็บคอ จึงไปขอตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผลตรวจพบเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ขณะนี้อาการดี ไม่มีไข้
    สำหรับชายคนดังกล่าวยืนยันว่าไม่เคยเดินทางไปเมียนมาและทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟร้าน 8080 คาเฟ่ แต่มีการสัมผัสใกล้ชิดกับเคสหญิงพะเยา อายุ 28 ปี มากกว่า 48 ชั่วโมง มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เดินทางด้วยกัน นอนพักเตียงเดียวกันตลอด
    ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไปกล่าวว่า ผู้เกี่ยวข้องที่เดินทางไปร่วมงานสิงห์ปาร์คในวันที่ 29 พ.ย. ในช่วงเวลา 19.30-21.30 น. และไปเข้าห้องน้ำ หรืออยู่โซนหน้าเวทีและลานเบียร์ ขอให้มารายงานตัวกับสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เพื่อสังเกตอาการและสอบสวนโรค และขอให้ผู้เดินทางในสายการบิน DD 8817 ในวันที่ 28 พ.ย.เชียงราย-กรุงเทพฯ ที่มีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วย กทม.และพิจิตรและสายการบิน SL 533 เชียงราย-กรุงเทพฯ ในวันที่ 29 พ.ย. ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย จ.ราชบุรี ให้มารายงานตัวด้วย
    ส่วนหญิงไทย อายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี ที่ตรวจพบการติดเชื้อโควิด -19 โดยระบุว่านั่งเครื่องบินลำเดียวกับผู้ป่วยโควิด-19 เคสหญิงพิจิตรและ กทม. ที่เดินทางกลับมาจากเชียงราย เบื้องต้นแจ้งว่าเดินทางไปจังหวัดเชียงรายและไม่ได้ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน หากข้อมูลนี้ถูกต้องจะเป็นอีก 1 รายที่ติดเชื้อภายในประเทศ แต่ขณะนี้ข้อมูลยังไม่ครบถ้วน อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคและเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและสถานที่รับเชื้อ หากทราบข้อมูลเพิ่มเติมจะนำเสนอต่อไป ขอให้ผู้ที่ถูกสอบสวนโรคให้ข้อมูลตามความเป็นจริงเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองและผู้ใกล้ชิด และการสอบสวนโรคเป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อจำกัดวงการแพร่ระบาดและการป้องกันควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว
    ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถ้อยแถลงผ่านวีดิทัศน์ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 31 ว่าด้วยการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแบ่งปันแนวทางของไทยในการต่อสู้กับโควิด-19 ได้แก่ ความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ของไทย โดยเฉพาะอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการปฏิบัติตามมาตรการพื้นฐานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด การสนับสนุนการพัฒนาและจัดหาวัคซีนโควิด-19 และประกาศว่าไทยจะมอบเงินให้แก่องค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อสนับสนุนข้อริเริ่มในการพัฒนาและจัดสรรยาและวัคซีนโควิด-19 ซึ่งต้องเป็นสินค้าสาธารณะที่สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม และการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาบริหารจัดการข้อมูลในพื้นที่รวมถึงการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล
ศบค.ชุดเล็กจ่อนัดถก
    ต่อมาเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือแก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สนับสนุนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม จำนวน 13 ราย จากเงินบริจาคบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” รวมจำนวนเงิน 670,000 บาท
    จากนั้น นายกฯ กล่าวแสดงความเสียใจกับทายาทผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ว่า การแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่ได้ผลดี เพราะบุคลากรทางการแพทย์ อสม. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยสถานการณ์โควิด-19 คงจะยังไม่สิ้นสุดในระยะเวลาอันใกล้นี้ ทุกคนจะต้องทำงานกันต่อไป ในนามของรัฐบาลและคนไทยทุกคน ขอขอบคุณในความเสียสละของทุกคน ที่หลายคนได้สูญเสียและบาดเจ็บ หากมีปัญหาใดขอให้ติดต่อประสานมาที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ โดยรัฐบาลจะดูแลให้ดีที่สุด ขอให้กำลังใจทุกคนในการทำงานและสู้กันต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะสิ้นสุด
    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พบผู้ติดเชื้อจากการชมคอนเสิร์ตในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ ทางศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (ศบค.) จะพิจารณามาตรการเข้มงวดเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 หรือไม่ว่า เรื่องนี้ต้องให้ทาง ศบค.ชุดเล็ก ที่มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน เป็นผู้พิจารณา
    รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า จากกรณีมีหญิงไทยการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และต่อมาพบว่าติดเชื้อโควิด-19 นั้น นายกฯ ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวกับการเฝ้าระวังป้องกัน โดยเฉพาะให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มความเข้มงวด โดยกระทรวงมหาดไทยให้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ที่ติดชายแดน ทั้งเมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ส่วนกระทรวงสาธารณสุข ให้ อสม.ลงไปเจาะพื้นที่เพื่อดูข้อมูล ตรวจสอบขยายผล โดยเฉพาะกรณีมีคนแปลกหน้าเข้าพื้นที่ ให้ขอความร่วมมือกับประชาชนทุกหมู่บ้าน ทุกอำเภอ ในการตรวจสอบและให้ข้อมูล
    ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ที่มีเลขาธิการ สมช. เป็นผู้อำนวยการจะประชุมหารือกันในเร็วๆ นี้ เพื่อหามาตรการที่เข้มงวด ซึ่งหากจะต้องออกข้อกำหนดใดๆ ที่มีการผ่อนคลายไปแล้ว จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องของการลดจำนวนคนที่จะมารวมตัวกันในกิจกรรมด้านต่างๆ ที่เคยผ่อนคลายไปหมดแล้ว เช่น เรื่องของระบบขนส่ง การจัดงานคอนเสิร์ตต่างๆ เป็นต้น
    ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ได้ออกหนังสือคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าระวังจุดเสี่ยงลักลอบเข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติ พร้อมทั้งสถานประกอบการ และสืบสวนสอบสวนขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ และให้ทุกจังหวัดเพิ่มตำรวจสอบสวนโรคเข้มงวดขึ้น ให้ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) หาข้อมูลจุดเสี่ยงและขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าว ซึ่งต้องสืบสวนหาหัวหน้าขบวนการดำเนินคดีอย่างจริงจัง ทั้ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง, พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรค นอกจากนี้ ในช่วงใกล้วันหยุดยาวและเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึง ต้องเพิ่มจุดตรวจจุดสกัดแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดนทั้งช่องทางปกติและช่องทางธรรมชาติ
เชียงราย-เชียงใหม่ป่วน
    ที่ จ.เชียงราย นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ นพ.ทศเทพ บุญทอง นายแพทย์สาธารณสุข จ.เขียงราย และ นพ.ไชยเวช ธนไพศาล ผอ.โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์ แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มอีก 2 ราย รวมกับหญิงสาวและสาวประเภท 2 ที่พบก่อนหน้านี้ 7 ราย รวมเป็น 9 ราย และทั้งหมดถูกนำตัวเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์ โดยรายที่ 7 เป็นชายวัย 28 ปี (เป็นสาวประเภท 2) ไม่มีประวัติการเดินทางมาจากต่างประเทศ สนิทสนมและเป็นเพื่อนกับผู้ป่วยสาวชาว จ.พะเยา ที่ตรวจพบโควิด-19  
    ส่วนสาวไทยติดเชื้อรายใหม่ 2 รายล่าสุด ไม่มีเส้นทางหรือไทม์ไลน์การแพร่ระบาดเชื้อ เพราะตรวจพบที่ด่านพรมแดน อ.แม่สาย สำหรับกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและต่ำในจังหวัดมีรวมกัน 46 คน ได้ทำการตรวจแล้ว ปรากฏว่าผลเป็นลบทั้งหมด อย่างไรก็ตามกรณีรายที่เป็นชายอายุ 28 ปีนั้น เบื้องต้นจากการตรวจคนที่สัมผัสเสี่ยงสูงใกล้ชิดจำนวน 3 คน ไม่พบการติดเชื้อ จึงถือว่าควบคุมได้แล้ว
    ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นพ.กิตติพันธุ์ ฉลอง ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ แถลงว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อีก 1 รายล่าสุด เป็นชายไทย อายุ 32 ปี ชาวเชียงใหม่ ทำงานในสถานบันเทิงเดียวกันกับที่พบการระบาดของโควิด-19 ใน? จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา (ดีเจที่โรงแรม 1G1) จากการสอบสวนโรคพบว่าผู้ป่วยรายนี้ เริ่มมีอาการวันที่ 30 พ.ย. มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว คัดจมูก การได้รับกลิ่นลดลง และได้เดินทางข้ามพรมแดนธรรมชาติมาในช่วงค่ำของวันที่ 30 พ.ย. พักที่ อ.แม่สาย 1 คืน และเดินทางเข้าพักใน อ.เมืองฯ จ.เชียงรายอีก 1 คืน ก่อนที่จะเดินทางจังหวัดเชียงใหม่โดยรถจักรยานยนต์ส่วนตัว ในวันที่ 2 ธ.ค. เวลาประมาณ 15.00 น.  เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ (พักคนเดียว) ในเวลา 20.00 น. และได้ออกไปซื้ออาหารที่ 7-eleven ตลาดหน้า ป.พัน 7 ประมาณ 10 นาที เพื่อซื้ออาหารมารับประทาน โดยสวมหน้ากากตลอดเวลาที่ออกไปนอกที่พัก วันที่ 3 ธ.ค. เวลา  09.45 น. เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลนครพิงค์ และเวลา 14.00 น. ผลตรวจยืนยันพบเชื้อโควิด-19 พร้อมรับตัวเข้ารักษาในห้องแยกโรคความดันลบ โรงพยาบาลนครพิงค์
    จากการติดตามกล้องวงจรปิดจากสถานที่ 2 แห่ง ไม่พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง แต่พบผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงต่ำ จำนวน 5 ราย (จากโรงแรม และร้าน 7-eleven) โดยจะนัดเก็บสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 เมื่อครบ 5 วันหลังสัมผัส ในวันที่ 7 ธ.ค.
    สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายที่ 43 และ 44 ของจังหวัด ขณะนี้ผู้ป่วยทั้ง 2 ราย ไม่มีอาการผิดปกติ ยังคงพักรักษาอยู่ที่ห้องแยกโรคความดันลบ โรงพยาบาลนครพิงค์ สำหรับการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง จำนวน 7 ราย ตรวจแล้ว 3 ราย ผลตรวจเป็นลบทั้ง 3 ราย และผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงต่ำ จำนวน 17 ราย โดยทั้งหมดจะถูกส่งตรวจเมื่อครบ 5 วันหลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ ในวันที่ 6 ธ.ค.
    ที่ด่านพรมแดนอำเภอเบตง จ.ยะลา ติดต่อกับฝั่งมาเลเซีย เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสแกนควบคุมโรคคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซียอย่างละเอียด ภายหลังพบผู้ติดเชื้อที่ศูนย์ Local Quarantine อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นเพศหญิง 1 ราย หลังเดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย พร้อมเพื่อนอีก 12 คน เมื่อวันที่ 25 พ.ย.63 ที่ผ่านมา
    ที่ จ.พิจิตร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร เปิดเผยผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 กลุ่มเสี่ยงสูง มีผลเป็นลบทั้ง 4 ราย และผู้มีความเสี่ยงปานกลาง 30 ราย ผลเป็นลบเช่นกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการกักตัวให้ครบ 14 วัน.

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"