ผมเห็นพาดหัวนี้ในบทความของ นางสาวพิรญาณ์ รณภาพ ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วเกิดความสนใจ
ยิ่งเมื่อพูดถึงการ "ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้านการลงทุน" ยิ่งทำให้เห็นว่าเป็นหัวข้อที่ควรแก่ความสนใจของรัฐบาลและเอกชน
ผมอ่านข้อเสนอแล้วเห็นว่าเป็นแนวทางที่ควรจะมีการนำมาถกแถลงกันให้กว้างขวาง
เพราะยุทธศาสตร์ของชาติในเรื่องการลงทุนมีผลต่ออนาคตของประเทศอย่างยิ่ง
หากเราไม่รีบปรับปรุงหรือ transform เรื่องการลงทุน อีกไม่นานเราก็หมดความสามารถในการแข่งขันกับเพื่อนบ้านเราค่อนข้างแน่นอน
ทุกวันนี้การลงทุนของทุกประเทศในภาวะโควิดเปรียบได้กับ "หนอนในดักแด้"
หรืออยู่ในภาวะจำศีล
ไทยเราเจอศึกหนักกว่า
เหตุผลเพราะก่อนหน้านี้เราก็เติบโตในอัตราต่ำอยู่แล้ว
และหากย้อนกลับไปก็จะเห็นสถิติที่ตอกย้ำว่า การลงทุนอยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน
จึงต้องหันมาพิจารณามาตรการที่จะต้อง "ปรับปรุงงานกันขนานใหญ่" ในด้านนี้
งานวิจัยของ ธปท.พบว่า ในระยะข้างหน้าไทยจำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องจนสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP เพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 4
ร้อยละ 23 ในปี 2019 เป็นร้อยละ 27
เพื่อให้หลุดจาก "กับดักประเทศรายได้ปานกลาง" ในอีก 15 ปีข้างหน้า
แต่ไม่ใช่ลงทุนแบบไร้เป้าหมาย
ไทยต้องเน้นคุณภาพการลงทุนให้ตรงจุด
เพราะโลกกำลังผ่านความเปลี่ยนแปลงอย่างหนักหน่วง
ไทยไม่ได้มีทุนไม่จำกัด
ในช่วงนี้ภาคเอกชนส่วนใหญ่ยังคงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤติโควิด-19 ไม่สามารถขับเคลื่อนการลงทุนของประเทศได้อย่างเต็มที่
จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องรับบทบาทหลักในการปรับโครงสร้างการลงทุน
ปรับปรุงอย่างไร?
ข้อเสนอในบทวิเคราะห็นี้บอกว่าจะต้องผลักดันและเร่งให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เสริมสร้างศักยภาพการเติบโตให้เศรษฐกิจไทย (Strategic Investment) ให้เท่าทันและสอดรับกับกระแสโลกใหม่ รวมทั้งจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนตาม (Crowding-in effects) ได้แก่
1.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลทั้งด้าน hardware และ software ที่ผ่านมาภาครัฐได้เร่งให้เกิดการประมูลเพื่อลงทุนในโครงข่ายโทรคมนาคม 5G ทำให้ปัจจุบันบริษัทโทรคมนาคมของเอกชนกำลังดำเนินการลงทุนตามแผน
แต่ลงทุนใน hardware อย่างเดียวไม่พอ
รัฐควรพิจารณาลงทุนในด้าน software เพื่อให้การใช้ทรัพยากรของประเทศเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วย เช่น การบูรณาการระบบฐานข้อมูลภาครัฐ (e-Government) ที่มาช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำธุรกิจ และทำให้ภาครัฐสามารถวิเคราะห์นโยบายการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างตรงจุด
การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยจับคู่ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในระบบ รวมถึงอาจขยายความครอบคลุมไปจนถึงการหางานในระดับตำบลหรือหมู่บ้านที่เป็น self-employed ด้วย
การสร้างแพลตฟอร์มช่วยให้ประชาชนหรือ SMEs สามารถขายของ online ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ปิดช่องว่างแพลตฟอร์มในปัจจุบันที่ดำเนินการโดยเอกชน
2.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ ให้เชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึง เพื่อช่วยลดต้นทุนและลดเวลาในการขนส่งสินค้าและการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันภาครัฐได้วางยุทธศาสตร์การลงทุนในส่วนนี้ไว้แล้ว แต่ความท้าทายอยู่ที่การผลักดันให้เกิดขึ้นจริงตามแผน
3.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
เช่นระบบบริหารจัดการน้ำทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กเพื่อป้องกันน้ำท่วม
ระบบการจัดการขยะในเมืองใหญ่
และการสร้างสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
ประเด็นที่เป็นจุดอ่อนสำคัญและเป็นเรื่องที่เอกชนร้องเรียนมายาวนาน คือเรื่องกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อนและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ
จึงต้องมีการปฏิรูปเรื่องนี้กันอย่างจริงจังและเร่งด่วน เพื่อดึงดูดธุรกิจทั้งในและต่างประเทศที่มีความพร้อมและฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง
ผ่านไประยะหนึ่ง ภาคเอกชนควรมีบทบาทเข้ามาลงทุนต่อยอดและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐลงทุนไว้
ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ
ตัวอย่างเช่น การทำการเกษตรแบบอัจฉริยะ (Smart Farming)
ซึ่งสามารถช่วยให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตและสามารถปลูกพืชที่เหมาะสมกับภูมิประเทศและทนทานต่อสภาพอากาศได้มากขึ้น
การนำหุ่นยนต์และระบบ Automation มาเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพในการผลิตสินค้าและบริการ ตลอดจนการรักษาคนไข้ผ่านระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) ที่ตอบโจทย์ทั้งกระแสคนรักสุขภาพและการก้าวสู่สังคมสูงวัย
ข้อเสนอสุดท้ายที่ผมเห็นว่ามองข้ามไม่ได้เด็ดขาดคือ การลงทุนในทุนมนุษย์ (Human Capital)
โดยเฉพาะ "การยกระดับทักษะด้านดิจิทัล" ให้แรงงาน ซึ่งจำเป็นอย่างมากในอนาคต
"คงไม่เป็นประโยชน์นัก หากภาครัฐและเอกชนเร่งลงทุนด้านดิจิทัลอย่างเต็มที่ แต่ภาคแรงงานกลับขาดทักษะ รวมถึงไม่สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้" บทวิเคราะห์นี้จับประเด็นได้แม่น
ทักษะด้านดิจิทัลของไทยเรายังต่ำ
การจัดอันดับทักษะด้านดิจิทัลของ 133 ประเทศในรายงาน Networked Readiness Index ปี 2563 ของ Portulans Institute บอกว่าทักษะด้านดิจิทัลของคนไทยในปัจจุบันยังต่ำอยู่เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค เราอยู่ในอันดับที่ 63 เทียบกับสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียที่อันดับ 5, 10 และ 49 ตามลำดับ
อาจจะเป็นความหวังที่ห่างไกล ณ จุดนี้ แต่ผมเห็นด้วยกับข้อสรุปที่ว่า
ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ การลงทุนของทุกประเทศอยู่ในภาวะจำศีล เปรียบเสมือนหนอนที่อยู่ในดักแด้
ความท้าทายของผู้วางนโยบายคือ ทำอย่างไรให้ไทยออกจากดักแด้แล้วจะไม่เป็นเพียงผีเสื้อ
แต่ต้องทรานส์ฟอร์มเป็นเสือที่แข็งแกร่งเพื่อแข่งขันได้ในโลกอนาคต
เป็นชุดข้อเสนอที่ผมอยากให้มีการเผยแพร่เพื่อนำไปสู่การถกแถลงกันอย่างกว้างขวางทุกวงการ
เพราะเราไม่อาจจะอ้อยอิ่งเดินเอื่อยๆ ตามจังหวะเดิมได้อีกต่อไปแล้ว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |