4 ธ.ค.63 - นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง รู้จัก “มวลชนปลดแอก ๒๕๖๓” ผ่าน www.thaipost.net โดยมีเนื้อหาดังนี้
คำเตือน : บทความ ๘ หน้านี้ เขียนให้คนที่ชอบคิดอ่านเท่านั้น คนชอบโพสต์แต่ไม่ชอบคิด โปรดอย่าเสียเวลาเข้ามาข้องแวะ
๑. “ The True Believer ”
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกได้ตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของมวลชนปฏิวัติทั่วไปหมด ทั้งมวลชนนาซีเยอรมัน, ฟาสซิสต์อิตาลี ,คอมมิวนิสต์รัสเซีย-จีน,ไซออนนิสต์อิสราเอล,ชาตินิยมในประเทศปลดปล่อยทั้งเอเซียและอเมริกาใต้ ฯ
ปรากฏการณ์นี้ ทำให้กระแสวิชาการที่จะหาคำอธิบายถึงกำเนิดของมวลชนปฏิวัติพลุ่งพล่านขึ้นมา เพื่อหาคำตอบว่าคนเราอยู่ดีๆจะหมดตัวหมดตนกลายเป็นมวลชนของขบวนการปฏิวัติที่มีพลังต่อสู้อุทิศตนจนพลิกโลกพลิกสังคมได้อย่างไร
“The True Believer ” คือหนังสือเล่มน้อยของ Eric Hoffer ที่ได้ค้นคว้าหาคำตอบข้างต้น มานำเสนอเป็นทฤษฎีทางสังคมจิตวิทยาการเมือง ที่มีคำอธิบายพร้อมหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาสนับสนุนไว้อย่างน่ารับฟัง และยังมีฐานะถือเป็นทฤษฎีคลาสสิคอยู่จนปัจจุบัน ( หนังสือนี้ผมได้ถอดความและพิมพ์เผยแพร่ไปแล้วสองครั้ง ในชื่อ “กำเนิดมวลชนปฏิวัติ” เมื่อปี ๒๕๒๔ และ ๒๕๓๑ )
คำอธิบายหลักของ Hoffer มีอยู่ว่า ในทางสังคมจิตวิทยานั้นสังคมจะมีพื้นที่ให้คนเราใช้ชีวิตอยู่ ๒ ภพ คือชีวิตปรกติและชีวิตปฏิวัติ ชีวิตปรกตินั้นผู้คนจะอยู่กับตัวตนของตัวเอง ไม่รวมตัวหรืออุทิศตนเพื่ออะไรนักหนา แต่เมื่อใดที่ชีวิตปรกติของเขาได้กลายเป็นชีวิตที่สิ้นหวัง จนทนอยู่กับตัวตนของตนเองไม่ได้ และได้ปัจจัยจัดตั้งรวมตัวอุทิศตนที่แทงใจดำพร้อมเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยแล้ว ภพใหม่คือชีวิตมวลชนปฏิวัติก็จะถือกำเนิดขึ้น ให้ผู้คนได้หลอมตัวตนเข้ามาจนเป็นหนึ่งเดียว เสมือนเป็นเพียงเส้นด้ายที่ถักทอกันจนเป็นผ้าผืนหนึ่งเท่านั้นเอง
ผ้าผืนใหม่หรือชีวิตมวลชนปฎิวัติที่เป็นภพใหม่นี้ มีคุณสมบัติสำคัญคือการรวมตัวและอุทิศตน เป็นชีวิตที่ก้าวร้าวรุนแรงทำลายล้างชีวิตปรกติได้ไม่ต่างจาก กลุ่มเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้นเป็นชีวิตชุดใหม่ในร่างกาย แล้วเดินหน้าทำลายล้างชีวิตปรกติชุดเดิมจนสิ้นไปในที่สุด แต่หากบ้านเมืองนั้นยังโชคดีสามารถหยุดกระแสนี้ได้ สังคมใหม่ก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นเป็นบ้านเมืองใหม่อนาคตใหม่ได้ต่อไปอีก ดังตัวอย่างจีนแผ่นดินใหญ่ที่สามารถหยุดกระแสเร๊ดการ์ด แล้วให้ระบอบพรรคเดียวพาเข้าสู่ความเจริญใหม่ได้ เช่นปัจจุบัน
การทิ้งความสิ้นหวังและตัวตนอันเศร้าหมองในชีวิตปรกติ แล้วแทนที่ด้วยความหวังของชีวิตมวลชนปฏิวัตินี้ ในความเห็นของ Hoffer จึงเห็นเป็นการเวียนว่ายตายเกิดในทางสังคมจิตวิทยาการเมืองของผู้คน ที่เราควรต้องยอมศึกษารับรู้เพื่อเท่าทันและอยู่กับมัน ไม่ต่างจากที่ต้องรู้จักอยู่กับมะเร็งในตัวของเราเองเลยทีเดียว
“มวลชนปลดแอก” ในเมืองไทย ปี ๒๕๖๓ นี้ มีตัวตนหรือเค้ามูลเป็นมวลชนปฎิวัติแล้วหรือไม่ ก็ต้องสำรวจกันต่อไปว่า มีกลุ่มเป้าหมายใด ที่โดนปัจจัยจัดตั้งใดเข้าไปแล้วบ้าง และได้บังเกิดผลเป็นชีวิตปฏิวัติที่จะพัฒนาได้ต่อไปหรือไม่ประการใด กล่าวคือ
๒. กำเนิด “มวลชนปลดแอก ๒๕๖๓”
๒.๑ คณะเสียเวลาแห่งชาติและระเบิดเวลาที่ฝากไว้ในหีบเลือกตั้ง
คสช.หรือ คณะทหารที่เข้ากระทำรัฐประหารระบอบชินวัตรชุดยิ่งลักษณ์นั้น ถืออำนาจสองประเภทอยู่ในมือ คืออำนาจคณะรัฐประหารที่ต้องใช้เพื่อการปฏิรูปบ้านเมืองกับอำนาจรัฐบาลที่ต้องใช้ดูแลบริหารราชการแผ่นดิน แต่ตลอดเวลาที่ครองอำนาจ คสช.กลับเข้าใช้อำนาจรัฐบาลเป็นหลัก ส่วนงานปฏิรูปบ้านเมืองก็กลับสร้างและมอบให้สภาจำแลงหรือเรือแป๊ะต่างๆ รับไปสร้างแผนปฏิรูปจนเกิดวรรณกรรมกระดาษขึ้นมากมาย แล้วสรุปทึกทักเอาเองว่านี่คือแผนปฏิรูปที่ตนได้ค้นพบให้บ้านเมืองแล้ว
ในส่วนรัฐธรรมนูญใหม่นั้น หลังจากโยกโย้อยู่นานก็ร่างออกมาเป็นฉบับหวยล็อคเปิดทางให้คนนอกเป็นนายกฯได้ด้วยระบบบัญชีนายกฯก่อนเลือกตั้ง ซ้ำด้วยการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว แต่ สส.สองประเภท เพื่อป้องกันรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดก่อน จากนั้นจึงเติมร่างฉบับที่สองเรียกว่าฉบับเฉพาะกาล มีสาระตอกฝาโลง ให้ สว.เฉพาะกาลร่วมโหวตตั้งนายกฯด้วยในสมัยแรก
ร่างรัฐธรรมนูญนี้ปลุกระดมข้างเดียวจนผ่านประชามติ คสช.ก็ได้ระบบสืบทอดอำนาจสมดังใจ เมื่อถึงเลือกตั้งก็ซ้ำด้วยการกวาดต้อนบรรดาอดีต สส.จากค่ายพรรคต่างๆมาใส่เสื้อวิน “พลังประชารัฐ” อีกชั้นหนึ่ง ก็คว้าที่นั่ง สส.มาสมทบกับ สว.ที่มี จัดตั้งรัฐบาลเพื่อรักษาความสงบต่อไปได้สำเร็จ จากนั้นก็ให้พี่ใหญ่เข้ายึดพรรคไล่สี่กุมารที่ทำตนเป็นสิ่งกีดขวางภายในออกไป จนสามนายพลถืออำนาจเต็มมือเช่นทุกวันนี้
สโลแกน “รักความสงบ จบที่ลุงตู่” นับเป็นทางเลือกหน้าหีบเลือกตั้งที่เสนอไว้อย่างสิ้นคิดมาก เป็นตัวชี้บ่งความล้มเหลวในการปฏิรูปบ้านเมืองของ คสช.อย่างชัดเจนที่มิได้ปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานเพื่อประชาธิปไตยใหม่ ให้บ้านเมืองแต่อย่างใดเลย ขณะเดียวกันทางเลือกนี้ก็ยังผลทำลายพรรคการเมืองหลายพรรคให้ต้องแตกแยกและยอมจำนนเข้าร่วมรัฐบาล คสช. ๒ เพื่อร่วมรักษาความสงบตามไปกับเขาด้วย ข้อกล่าวหาว่าการเลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญใหม่เป็นเพียง “การสืบทอดอำนาจ” จึงไม่มีทางจะปฏิเสธไปได้
มาในปัจจุบัน ความจริงก็ปรากฏแล้วว่า การสืบทอดอำนาจโดยไม่ยอมลงแรงแก้ปัญหารากฐาน แล้วใช้เสียงนักเกาะกินในวุฒิสภามาค้ำยันบัลลังก์เอาเปรียบไม่ชอบธรรมเช่นนี้ เอาเข้าจริงๆแล้ว ก็คือระเบิดเวลาที่รอวันระเบิดขึ้นกลางเมือง ระเบิดเมื่อใดความสงบก็ต้องจบลงอย่างแน่นอน จบแบบที่ไม่มีโอกาสได้ประชาธิปไตยใหม่ที่อยู่กันได้โดยสงบอีกต่อไปเลย
ข้อที่ลุงตู่ยืนยันว่า “มาไล่ผมทำไม..ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ” จึงเป็นการตัดทอนความจริงมากล่าวอ้างตามอำเภอใจ เพราะที่ถูกต้องนั้น ท่านถูกไล่ก็เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องทำ คือ “ไม่ใช้อำนาจคณะปฏิวัติปฏิรูปโครงสร้างประชาธิปไตยใหม่ให้บ้านเมืองไม่ให้เผด็จการพรรคการเมืองนายทุนแบบชินวัตรกลับมาอีก” นั่นเอง
ภารกิจนี้คือภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่ท่านละทิ้งมา กว่า ๑๐ ปีโดยไร้สำนึก หลงงมไปกับงานประจำในรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรีออกแขกฟอดๆแฟดๆมาตลอด จนเมื่อสืบอำนาจไปโดยสุ่มเสี่ยงเช่นนี้วิกฤตบ้านเมืองจึงติดตามมา ตัวท่านเองก็จะต้องถูกขับไล่และทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว จนต้องเป็นเช่น “หนูน้อยในบ้านใหญ่” ในบั้นปลายอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ผิดเลยที่จะสรุปว่า คสช.คือ “คณะเสียเวลาแห่งชาติ ” ที่สืบอำนาจมอบระเบิดเวลาให้แก่บ้านเมือง เกิดเป็นวิกฤตใหม่ชัดเจนแล้วในทุกวันนี้
๒.๒ พัฒนาการช่วง “ลงเลือกตั้ง”ของ“มวลชนปลดแอก”
คนผิดหวังในตัวตนในชีวิตปรกติ ที่อาจพลัดเข้าไปหาความหวังใหม่ในชีวิตมวลชนปฏิวัติได้นั้น Hoffer ได้สำรวจแยกแยะให้เห็นไว้หลายประเภทด้วยกัน มีทั้ง คนชั้นกลางที่ตกต่ำ ตกงานอนาคตหายวับไปกับตา คนจนที่บ้านแตกสาแหรกขาด คนชีวิตไม่เข้าร่องเข้ารอยเช่นวัยรุ่นหรือผู้อพยพ คนทะเยอทะยานหรือนักคิดที่ถูกกีดกันปฏิเสธไม่ให้พื้นที่ในสังคม คนเบื่อโลก คนอ่อนแอ คนเห็นแก่ตัวขนาดหนัก ฯ
เฉพาะตัวอย่างในบ้านเราเมื่อไม่นานมานี้นั้น มวลชนแดงของระบอบทักษิณก็จะเน้นกลุ่มพี่น้องต่างจังหวัดที่อพยพทิ้งไร่นาเข้ามาสร้างชีวิตใหม่ในเมือง จนมีชีวิตปรกติที่ไม่มั่นคงโดดเดี่ยว พากันตั้งรกรากอยู่ในย่านอุตสาหกรรมทั้งกรุงเทพปริมณฑลและภาคตะวันออกเป็นหลัก ส่วนที่เห็นตามบ้านนอกบางแห่งเป็นหมู่บ้านคนเสื้อแดงนั้นก็เป็นแค่สัญลักษณ์เท่านั้น ไม่ใช่ฐานหลักแต่อย่างใด
มวลชนแดงเหล่านี้ทุกวันนี้ก็ยังคงดำรงอยู่ และได้เริ่มเข้าสมทบร่วมชุมนุมกับมวลชนปลดแอกอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังแล้วด้วย ล่าสุดนี้ก็ถึงขนาดจับมือชุมนุมร่วมกันที่ถนนอักษะ เพื่อไว้อาลัยมวลชนแดงที่จากไปแล้ว เลยทีเดียว
ในส่วน “มวลชนปลดแอก” ที่พึ่งเปิดหน้าประกาศปฏิรูปสถาบัน ๑๐ ข้อ โดยยืมปากเด็กกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมนั้น แท้จริงก็ก่อตัวจัดตั้งกันในโลกโซเชียลมาตั้งแต่รณรงค์เลือกตั้งเพื่อพรรคอนาคตใหม่แล้ว มีเป้าหมายจัดตั้งหลักเป็นเยาวชนคนหนุ่มสาวที่หงุดหงิดในชีวิต ที่อยู่ไปวันๆ ไม่มีหวังไม่เห็นอนาคตในสังคมไทยปัจจุบัน ส่วนการจัดตั้งนั้น ก็อาศัยการสื่อสารและเครือข่ายที่เป็นระบบในโลกโซเชียล ออกแบบและจัดการด้วยทีมผู้ชำนาญทั้งทางจิตวิทยาและเทคโนโลยีสื่อสารระดับโลก ที่ได้ลงทุนจ้างกันมาเป็นร้อยล้าน ซึ่งก็นับว่าคุ้มค่าพาไปชนะเลือกตั้งได้ที่นั่ง สส.อย่างถล่มทลาย คิดเป็นต้นทุนแล้วก็ต่ำกว่าพรรคอื่น วิธีอื่น เป็นอันมาก
การรณรงค์เลือกตั้งเข้าถึงเยาวชนโดยอาศัยโลกไซเบอร์ ของพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนี้ จึงเป็นทั้งนวัตกรรมและก้าวใหม่ของการเมืองไทยที่สำคัญยิ่ง
ก้าวใหม่ที่ว่านี้นอกจากจะเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่โดยอาศัยการรณรงค์ในสังคมเสมือนจริงของโลกไซเบอร์แล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการใช้เทคนิคจัดตั้งมวลชนปฏิวัติมาสร้างการรวมตัวและอุทิศตนเพื่อให้เกิดเป็นขบวนการต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งแต่แรก มิใช่มุ่งจะนำเสนอแต่เพียงความหวังและชุดนโยบายที่ดึงดูดใจในสนามเลือกตั้ง เพื่อชนะเลือกตั้งเท่านั้นไม่ มองให้ดีก็จะเห็นว่าเป็นการจัดตั้งมวลชน ที่ก่อตัวขึ้นมาในนามของการตั้งพรรคเพื่อลงสนามเลือกตั้ง ไม่ต่างจากพรรคนาซีเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ แต่อย่างใด
ท่าทีปฏิวัติเช่นนี้ เริ่มปรากฏให้เห็นได้ทั้งจากคำประกาศปฏิรูปกองทัพและสถาบัน การเผยแพร่ทัศนะชังชาติ ให้ผู้คนสิ้นเยื่อใยต่อชีวิตปรกติในสังคม โยนทิ้งทั้งค่านิยม วัฒนธรรม และความผูกพันต่างๆ ด้วยสิ้นหวังในความเหลวไหลของสถาบันศาสนา ครอบครัว ที่ถูกพันธนาการด้วยโครงสร้างส่วนบน ที่ต้องถูกรื้อถอนในที่สุดให้จงได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการปูความคิดสร้างอนาคตใหม่ด้วยการปฏิเสธทำลายปัจจุบันทั้งสิ้น หาใช่การตั้งพรรคการเมืองเพื่ออยู่ในสังคมการเมืองปรกติเช่นธรรมดาทั่วไปแต่อย่างใดไม่
พัฒนาการของมวลชนปลดแอกระยะแรกลงเลือกตั้งที่กล่าวมานี้ จึงอยู่ในระยะของการตั้งตัวทางความคิดปฏิวัติเท่านั้น ซึ่งถ้าเข้าใจได้เช่นนี้แล้วก็จะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพรรคนี้จึงไม่มีชุดนโยบายให้เห็นเป็นจริงเป็นจังได้เลยว่า มีพิมพ์เขียวจะสร้างเศรษฐกิจใหม่ ความหวังใหม่ และการเมืองใหม่ให้ชีวิตปรกติของสังคมไทยได้อย่างไร เหตุทั้งนี้ก็เพราะนี่คือพรรคปฏิวัติที่มุ่งจะชี้ชักจูงให้ผู้คนทิ้งชีวิตปรกติ ด้วยสิ้นหวังในปัจจุบันเป็นสำคัญนั่นเอง
๒.๓ โบกธงรบเป็น “มวลชนปลดแอก”เต็มตัว หลังถูกยุบพรรค
คำพิพากษาตัดสิทธิทางการเมืองผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่ แล้วซ้ำด้วยคำพิพากษายุบพรรคทั้งพรรค และยังจะตามมาติดๆ ด้วยคำฟ้องคดีอาญาที่แทบจะไม่เห็นทางสู้ให้หนีไปจากข้อยุติในคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญไปได้เลย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ฝ่ายนำของมวลชนเรียกว่า “นิติสงคราม” ที่ยังผลปิดหนทางต่อสู้ในระบบของกลุ่มอนาคตใหม่จนสนิทแน่น หนทางที่เหลือจึงมีแต่การเผชิญหน้านอกระบบ ด้วยกำลังมวลชนเท่านั้น
เมื่อต้องคดีจนตัดสินใจจะแปลงร่างเป็นขบวนการต่อสู้ของมวลชนโดยตรง เช่นนี้แล้ว ก็มีข้อที่ต้องปรับเปลี่ยนยกระดับการจัดตั้งขึ้นไปอีกในข้อสำคัญ คือ
ยกสถาบันกษัตริย์เป็นเป้าหมายแห่งความจงเกลียดจงชังที่ต้องล้มล้างโดยมวลชนปฏิวัติ
“...วิธีการของเรา คือ ต้องมีอำนาจและต่อรอง(กับ)........นี่ต่างหากคือเป้าหมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ก็เอาทหารออกจากการเมืองไม่ได้ จัดการเรื่องศาลก็ไม่ได้อีก จัดการเหี้ยห่าอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น...” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สัมภาษณ์ Portrait ๒๕๖๑
คำให้สัมภาษณ์ข้างต้น แม้จะสะท้อนถึงทัศนะคติของผู้พูดที่เป็นลบต่อสถาบันก็ตาม แต่ก็ยังแสดงถึงเหตุผลในสมอง ไม่ใช่พูดจากความจงเกลียดจงชังในจิตใจ แต่วันเวลาผ่านไป ๒ ปี เมื่อถึงขั้นตัดสินใจสร้างมวลชนขึ้นต่อสู้ล้มล้าง กันแล้ว ก็จำต้องปรับเสียใหม่ตามหลักวิชา ให้กลายมาเป็นความจงเกลียดจงชังจากหัวใจไม่ใช่สมอง เหตุเพราะมวลชนปฏิวัตินั้นจะรวมตัวอุทิศตนกันได้ ก็ด้วยความจงเกลียดจงชังเท่านั้น ทุกขบวนการหากหวังจะเติบโต ก็จะต้องสรรหาปีศาจมาให้ผู้คนเกลียดชังร่วมกันจนกลายเป็นมวลชนที่เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ โดย“ปีศาจ”นี้ต้องเลวบริสุทธิ์และมีฤทธิ์ชั่วชาติมากพอที่จะชี้ให้ได้ว่า เป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงที่เห็นบนโลก ถึงขั้นที่ถ้าไม่ล้มล้างลงไปแล้วก็อย่าหวังจะมีความหวังใดในชีวิตได้เลย อย่างที่พูดว่า “จัดการเหี้ยห่าอะไรก็ไม่ได้” นั่นทีเดียว
ด้วยสันดานอันน่าเศร้าของมนุษย์ที่โกรธเกลียดอะไรคนเดียวไม่ได้ ต้องหาคนมาแบ่งปัน มาเกลียดร่วมกันจนกลายเป็นพวกเดียวกันให้ได้เช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้ Hoffer ถือว่าปัจจัยรวมตัวของมวลชนปฏิวัติที่สำคัญที่สุดคือความจงเกลียดจงชัง ที่บรรดาปัญญาชนปฏิวัติมีหน้าที่จะต้องเลือกสรรมาให้เกลียดร่วมกันให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น “ยิว” ที่ป้อนให้มวลชนนาซีเกลียดร่วมกัน, “นายทุน-ศักดินา”สำหรับมวลชนคอมมิวนิสต์ “ปีศาจจักรวรรดิ์นิยม” สำหรับมวลชนชาตินิยม เป็นต้น
ในกรณีมวลชนปลดแอก ๒๕๖๓ ที่โบกธงรบผ่านปากเด็กธรรมศาสตร์เมื่อ ๑๐ สิงหาคม โดยปรากฏเป็นคำประกาศปฏิรูปสถาบัน ๑๐ ข้อนั้น ก็ชัดเจนว่าต้องการเชิดชูให้สถาบันกษัตริย์ ตกเป็นเป็นจำเลยแห่งความชั่วร้ายดักดานของสังคมไทยนับแต่นี้ไป เชิดไว้เพื่อให้เยาวชนคนหนุ่มสาวได้ร่วมกันจงเกลียดจงชังจนรวมตัวกันเป็นมวลชนที่เหนียวแน่นยั่งยืน ยิ่งรวมตัวกันก็ยิ่งเกลียดร่วมกัน ยิ่งเกลียดร่วมกันก็ยิ่งรวมตัวกัน เป็นพลวัตหนักขึ้นไปเรื่อยๆ จนสิ้นตัวตนกลายเป็นเช่นเส้นด้ายบนธงปฏิวัติล้มเจ้าจักรี ผืนเดียวกันในที่สุด
เมื่อเข้าใจถึงความจำเป็นทางเทคนิคจัดตั้งมวลชนได้เช่นนี้แล้ว คำว่า “ปฏิรูป”สถาบันกษัตริย์ของมวลชนเหล่านี้ จึงเป็นแค่วาทะกรรมที่ไม่มีความจริงรองรับ เพราะหากรับคำนี้ได้เมื่อใดจิตใจและพลังปฏิวัติเพื่อโลกใหม่จะหายไปในทันที สำหรับมวลชนปฏิวัติแล้ว โลกปัจจุบันอันสกปรกสิ้นหวังต้องถูกปฏิเสธล้มล้างแล้วสร้างขึ้นใหม่เท่านั้น ขยะก็เป็นขยะ ไม่มีใครจะปฏิรูปขยะได้
ข้อสรุปข้างต้นเมื่อนำมาสอบทานกับพฤติการณ์หยามเหยียดสถาบัน ที่ทำเป็นกิจกรรมกันขึ้นมาภายหลัง ทั้งการยื่นหนังสือต่อสถานทูตเยอรมัน, การทวงภาษีกูต่อสำนักงานทรัพย์สินหรือธนาคารไทยพาณิชย์ เลยไปถึงการจาบจ้วงว่าเป็นขยะสังคม ถามว่าเมื่อไหร่แม่จะตาย ฯ เหล่านี้ล้วนไม่ใช่ความพล่อยปากตามสันดานต่ำช้าแต่อย่างใด หากแต่เป็นกิจกรรมร่วมอันจำเป็น ที่มุ่งสร้างสรรค์เพื่อเสริมความจงเกลียดจงชังร่วมกันของมวลชนทั้งสิ้น
๒.๔ ความศักดิ์สิทธิ์ของภารกิจปฏิวัติ
เพื่อให้งานล้มเจ้าของตนมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นภารกิจที่มีกงล้อประวัติศาสตร์มารองรับประกันซึ่งความสำเร็จ กลุ่มนักคิดมวลชนปลดแอกได้ยืดมือแก่ๆไปลากเอากระแสอภิวัฒน์ของคณะราษฎร ในปี ๒๔๗๕ มาต่อติดกับงานล้มเจ้าของมวลชนปลดแอก ปี ๒๕๖๓เอาดื้อๆ โดยไม่มีสายใยในทางเหตุผลหรือวิชาการใดๆมารองรับเลยว่า ทำไมคณะราษฎรในปีนี้ถึงกลับใจมาคิดล้มเจ้าโดยเด็ดขาด ไม่คิดจะขอให้ทรงรับเป็นประมุขใต้รัฐธรรมนูญเหมือนเช่นที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อ ๙๐ ปีมาแล้ว
การดิ้นรนขุดคณะราษฎรมาเชิดชูกล่าวอ้างเอาเองเช่นนี้ แม้จะช่วยให้งานปฏิวัติของตนดูขลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นก็ตาม แต่ก็ทำให้ท่านที่ไม่รู้ไม่เห็นเหล่านั้นต้องพลอยถูกลูกหลง ถูกขุดขึ้นมาด่าประจานโดยไม่เป็นธรรมตามไปด้วยในหลายกรรมหลายวาระหลายเรื่องด้วยกัน ทั้งๆที่ก็มิได้รู้เห็นอะไรด้วยเลยกับสันดานเคลื่อนไหวแบบอนาธิปไตย หรือเสรีนิยมแบบนโยบายกะหรี่เสรี หรือนักเรียนแต่งกายเสรี ของมวลชนปลดแอกเหล่านี้แม้แต่น้อยเลย
นอกจากจะก้าวข้ามเวลาย้อนกลับไป ๙๐ ปีแล้ว นักคิดเหล่านี้ก็ยังลากงานปฏิวัติของตนข้ามแดนภูมิศาสตร์ เพื่อร่วมเป็นหนึ่งในกระแสสร้างโลกใหม่ของเยาวชนประชาธิปไตยทั่วโลกเช่นในฮ่องกง และซินเกียงอีกด้วย ครั้นสมทบด้วยท่าทีรับรู้รับรองของกลุ่มทูตตะวันตกในไทยด้วยอีกแรงหนึ่งแล้ว ภาพความเป็นสากลแห่งการต่อสู้ของเยาวชนเพื่อโลกใหม่ที่ดีกว่า จึงประทับลงไปในงานล้มเจ้าระดับท้องถิ่นของมวลชนปลดแอกนี้ด้วยอีกภาพหนึ่ง
๓. อนาคตที่ยังมองไม่เห็นของมวลชนปลดแอก
การส้องสุมจัดตั้งที่อยู่แต่ในโลกโซเชียล ไม่มีแม้กระทั่งหน้าตาของผู้นำที่จะชี้นำการต่อสู้ไปสู่ฟ้าสีทองที่ใกล้จะถึง ไม่มีทั้งชัยชนะทางยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธีในภาคสนามให้ทุ่มเทกำลังเข้าหาญหัก มีแต่ความเกลียดชังร่วมกันในหัวอก และกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์มุ๊งมิ้งกันเองเป็นรายอาทิตย์ ท่ามกลางเสียงด่าพ่อล่อแม่ของผู้คนที่เดือดร้อน กระแสหาเรื่องบูลลี่ทุกคนที่ไม่สนับสนุน จนโดดเดี่ยวตนเองขึ้นทุกทีๆเช่นนี้ คำถามจึงมีอยู่ว่า อะไรคืออนาคตที่รออยู่ข้างหน้ามวลชนปลดแอก ๒๕๖๓ ขบวนนี้
ตัวอย่างในต่างประเทศ ของมวลชนที่ลุกฮือโผล่ออกมาจากโลกโซเชียล แล้วสามารถล้มล้างระบอบการปกครองได้จริงๆ ก็เห็นจะมีแต่ตัวอย่างของ “อาหรับสปริง”ในอียิปต์ ที่มีขนาดความเป็นทรราชย์เลวเพียงพอที่จะสร้างมวลชนพร้อมลุกฮือขึ้นมาเป็นสิบล้านได้ทั้งประเทศ จนระบอบมูบารัคต้องพังลงไปใน ๑๐ วัน
ครั้นมาเปรียบเทียบกับเมืองไทยดูบ้างก็จะพบว่า ขนาดและคุณภาพความเลวทรามของสถาบันอำนาจยังไม่เพียงพอที่จะปลุกปั่นสร้าง “ไทยสปริง”ขึ้นมาได้ ยิ่งฝ่ายรัฐรู้จักใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่ถลำใช้กำลังกายภาพกระทำต่อชีวิตร่างกายของฝ่ายมวลชนด้วยแล้ว โอกาสของมวลชนที่จะบันดาลโทสะขึ้นอาละวาดเผาบ้านเผาเมือง เช่นม๊อบฮ่องกง หรือพฤษภาทมิฬก็ยิ่งมองไม่เห็นทาง
ในสภาวะอับจนหนทางต่อสู้ในท้องถนนเช่นนี้ ฝ่ายนำของมวลชนปลดแอกจะหาทางปรับตัวเพื่อยืนระยะต่อไปได้อย่างไร โดยไม่เสียทั้งแรงหนุนจากมวลชนและการนำของตนนั้น ก็นับเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่ ส่วนเรื่องการขยายแนวร่วมปฏิวัติต่อไปยังมวลชนอื่นหรือกลุ่มขบวนการอื่นนั้น ก็ยิ่งจะดูไกลเกินฝันเกินความสุกงอมของสถานการณ์ไปมากมายนัก
เมื่อผิดทั้งภาวะวิสัย ทั้งยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ทั้งการนำที่ลับๆล่อๆ ซุ่มซ่ามเหิมเกริมไปชูธงปฏิวัติล้มเจ้า โดยฝันกลางวันเอาเองว่าจะเกิด”ไทยสปริง”เช่นนี้ ทางตันตรงหน้าจึงเป็นคำตอบที่เห็นกับตาแล้ว จนในที่สุดก็ชัดเจนว่าจะต้องกลับไปส้องสุมโดยสงบแต่ไม่ย่อท้อในโลกไซเบอร์ของตน เพื่อรอโอกาสเคลื่อนไหวใหม่จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี ๒๕๖๔ ที่จะทำยอดบัณฑิตว่างงานสะสมเกือบถึง ๓ แสนคนต่อไป ซึ่งเชื่อได้ว่าจะต้องมียุทธศาสตร์ใหม่ด้วยมวลชนที่ปรับแต่งใหม่แล้วอย่างแน่นอน
ส่วนตัวนายกฯเก่าคือลุงตู่นั้น ก็จะบ่นซ้ำซากไปแบบเดิมๆว่าเหนื่อยจนย่อท้อ แล้วก็ขออยู่เพื่อขู่โควิด ๒๕๖๔ ต่อไปอีกเช่นกัน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |