หากย้อนกลับไปก่อนเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2549 ตัวกระตุ้นหนึ่งที่ทำให้ผู้นำกองทัพตัดสินใจทำรัฐประหารได้ง่ายขึ้นก็คือ ปัญหาความไม่เป็นธรรมในกองทัพอันเกิดจากการปรับย้ายนายทหาร และการกระจุกตัวในการเข้าสู่ตำแหน่งระดับผู้บังคับหน่วยของทหารบางกลุ่ม โดยมีรัฐบาลที่มาจากการพรรคการเมืองเข้ามาแทรกแซงกองทัพเพื่อวางฐานอำนาจของตัวเอง
แต่เมื่อเปลี่ยนขั้วเพื่อจัดสมดุลใหม่ ในที่สุดก็เกิดปัญหาไม่ต่างกับช่วงก่อนหน้านั้น เมื่อผู้นำกองทัพยังคงเล่นเรื่องรุ่นและพรรคพวกเหมือนเดิม ส่งผลให้มี “ทหารแตงโม” ที่เสียอำนาจและถูกดองในกรุ เป็นไส้สึกให้ฝ่ายตรงข้าม เพราะถูกกระทำ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกว่าสิบปีก่อน มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ในขณะนี้ที่มีการชุมนุมเคลื่อนไหวของ “กลุ่มราษฎร” ที่ข้อมูลต่างๆ รั่วไหลออกไปยังกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่เพียงแค่ “แผน” ของฝ่ายรัฐ แต่รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับสถาบันฯ ในเรื่องที่ล่อแหลม
ต้องยอมรับว่า ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทหารซึ่งก็คือประชาชน สามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้เหมือนกับคนทั่วไป รับรู้ได้ว่าข้อมูลที่ออกมาส่วนไหนเป็นข่าวจริง หรือเฟกนิวส์ อีกทั้งยังเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถส่งต่อข้อมูลที่ไม่เป็นธรรมภายในกองทัพไปสู่โลกภายนอกได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน
ประกอบกับในปัจจุบัน กำลังพลในกองทัพที่จบสถาบันการศึกษาด้านการทหาร ต้องออกไปศึกษาหลักสูตรพลเรือน และไปศึกษาต่างประเทศ รวมถึงพลทหาร ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่ได้ผ่านการกล่อมเกลาในสถาบันทหารที่ฝังค่านิยมเรื่องการรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เพียงอย่างเดียว แต่ได้รับข้อมูลด้านอื่นที่นำมาเทียบเคียงว่าส่วนไหนที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม
ข้อมูลที่ม็อบนำไปตีแผ่ เลยไปถึงพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่นำไปโจมตี ส่วนหนึ่งมาจากกำลังพลในกองทัพบกเอง ที่ทั้งแสดงความเห็นแบบอ้อมๆ ในโลกโซเชียลมีเดีย เลยไปถึงการส่งทางลับเพื่อหวังผลในการตีแผ่ข้อเท็จจริง แต่กลุ่มการเมืองเหล่านั้นมีการนำเอาประเด็นดังกล่าวไปขยาย ผูกโยง เพิ่มคุณค่าของข้อมูลให้เกิดผลกระทบต่อฝ่ายรัฐ จน “เลยธง” ข้อมูลที่เป็นจริง แต่เหนืออื่นใด ข้อมูลเหล่านั้นก็มี “มูลความจริง” หรือเค้าลางที่เกิดขึ้นภายในกองทัพอยู่ดี
เพราะบางอย่างก็เป็นเรื่อง need to know ซึ่งคนปฏิบัติหน้าที่จะได้รับแจ้งจากผู้บังคับหน่วยให้ไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนเวลาเพียงเล็กน้อย เพื่อป้องกันข่าวรั่ว อย่างเช่น กรณี “ทหารนอกเครื่องแบบ” หมวกฟ้า เหลือง และหมวกนิรภัยสีขาว ที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และเขตพระราชฐาน ใกล้พื้นที่เทเวศร์ ก็เป็นการแปลงภารกิจมาใช้ในการดูแลพื้นที่ช่วงที่ม็อบประกาศว่าจะเดินทางมา
หรือแม้กระทั่งปฏิบัติการ ”ป้องกันบ้านพ่อ” ซึ่งก็คือ “เขตพระราชฐาน” นอกจากมีมวลชนที่แสดงออกปกป้องสถาบันฯ แล้ว ฝ่ายรัฐยังป้องกันพื้นที่ด้วยการ “ซีล” แนวรับด้วย “ตู้คอนเทนเนอร์-ลวดหนามหีบเพลง” ไม่ให้ม็อบเคลื่อนย้าย หรือทำลายได้ง่ายเหมือนรถบัส รถเมล์ รั้วเหล็ก หรือการสลายการชุมนุมด้วย “จีโน่-แก๊สน้ำตา”
“ฝ่ายรัฐ” ในที่นี้ไม่ได้มีแค่เจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่มีการวางแผนยุทธการ และสั่งการมาจาก “หน่วยเหนือ” ที่ฝ่ายม็อบก็พยายามจะหา “วอร์รูม” ว่าอยู่ที่ไหน และมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ให้ผูกโยงกับคนที่ทำงานใกล้ชิดกับสถาบัน
แม้กระทั่งล่าสุดที่มีการประกาศการชุมนุมที่หน้ากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารรับรองกองทัพบก บ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
แต่ก็ “แกง” ฝ่ายรัฐ เปลี่ยนแปลงนัดหมายการชุมนุมมาที่ กรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน ด้วยการให้เหตุผลของ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำคณะราษฎร ที่อ้างว่าเป็นที่วางแผนในการทำให้ “ต้าร์” กับ “สุรชัย แซ่ด่าน” สูญหายที่ประเทศเพื่อนบ้าน ร้อนจนกองทัพต้องแจงข้อมูลผ่านทีมงานประชาสัมพันธ์ ว่า ร.11 ทม.รอ. ในปัจจุบันเป็นโรงเรียน และศูนย์ฝึกอบรมจิตอาสา
อย่างไรก็ตาม เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าแกนนำม็อบไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมาย “กระทุ้งเพดาน” เมื่อมีโอกาส นั่นอาจเป็นเพราะการแกะรอย หรือหาข้อมูลในโซเชียลมีเดีย จากการคอมเมนต์ในโพสต์ล่อเป้า จนได้ร่องรอยว่า “วอร์รูม” ในการต่อต้านม็อบอยู่ที่ไหน
แม้สื่อหลักจะนำเสนอ “วอร์รูม” ในการรับม็อบที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ว่าอยู่ที่ บก.ทบ. โดยมี “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขานุการพระราชวัง มาร่วมติดตามสถานการณ์ด้วย หรือในมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ที่หน่วยข่าวและหน่วยความมั่นคงส่งเจ้าหน้าที่มารายงานเป็นประจำอยู่แล้ว
แต่ “วอร์รูม” ที่คิดค้น วางแผน สั่งการ รับมือนั้น ต้องไม่ใช่สถานที่ที่คนทั่วไปรู้จัก แต่ต้องมีร่องรอยของหมายเลข 1 อยู่ในหน่วยนั้น จนม็อบเองก็ตีความผิด เพราะคิดว่าต้องเป็นหน่วยรักษาพระองค์
“วอร์รูม” ที่เปรียบเหมือนการรวมทุกอย่างไปที่นี่ และสามารถสั่งการให้หน่วยปฏิบัติรับไปดำเนินการได้นั้น จึงเป็นที่มาของการปรับแผนในพื้นที่ด้วยการตั้งรับด้วย “คอนเทนเนอร์” การปรับภารกิจของนอกเครื่องแบบเพื่อคุมพื้นที่ เลยไปถึงการ “สแกน-สกิม” ติดตามข่าวสารแบบ “เรียลไทม์” ในพื้นที่ของโลกไซเบอร์ และการต่อสู้ในสงครามโซเชียล เนื่องจากถูกฝ่ายต้านรัฐใช้ทักษะที่เหนือกว่าในด้านนี้สร้างความได้เปรียบในการต่อสู้
กระนั้น “ความลับไม่มีในโลก” จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีการ “เปิดแผล” ด้วยการใช้หลักฐานข้างเคียงมาผูกโยง ด้วยการนำภาพการสอน “ไอโอ” มาปล่อย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับปฏิบัติการข่าวสารที่รับมือ “ม็อบราษฎร” ซึ่งเริ่มมีการส่งต่อภาพไลน์หลุดจากกลุ่มผู้รับคำสั่งปฏิบัติงานจาก “หน่วยเหนือ” ให้ไอโออย่างไรบ้าง
ซึ่งเจ้าของคำสั่งก็อยู่ใน “วอร์รูมหมายเลข 1” ที่ล้วนแต่มีชื่อ “บิ๊กเนม” กลุ่มหนึ่งที่สามารถบอกให้กองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาตินำแนวทางที่คิดไว้ไปปฏิบัติได้ในทันที!!!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |