การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง นำโดย นายรังสิมันต์ โรม เพื่อประกาศแนวทางการเคลื่อนไหวในเดือนของการครบรอบ 4 ปี วันรัฐประหาร แม้จำนวนคนไม่พอจะกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ก็เป็น "หัวเชื้อ" ทางการเมืองที่พรรคการเมืองสามารถเติมคนเข้ามาได้ หากเกิดเหตุพลิกผันในอนาคต
ถึงขนาดที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกมาเตือนว่า อย่าทำผิดกฎหมาย เพราะฝ่ายความมั่นคงดูแลอยู่ พร้อมขอให้สื่อไปบอกว่าอย่าออกมา ละขอให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย หากอยากจะเลือกตั้ง แต่ถ้ายิ่งทำแบบนี้ก็ไม่ได้เลือก
"ฉะนั้นการที่จะได้เลือกตั้งหรือไม่ได้เลือก ไม่ได้อยู่ที่ผม อยู่ที่คนเหล่านี้นั่นแหละ ซึ่งการเลือกตั้งผมก็วางไว้แล้ว ต้นปี 62 จบ เลิกพูดเรื่องเหล่านี้ พอแล้วเหนื่อย บ๊ายบาย ซาโยนาระ ลาก่อน" พลเอกประยุทธ์กล่าว
น่าสนใจว่าท่าทีของพลเอกประยุทธ์ไม่ใช่แค่การปราม กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่ถูกมองว่าไร้พิษสง แต่ยังประกาศกร้าวไปยังกลุ่มนักการเมืองที่ตั้งใจเดินทางไปพบ 2 พี่น้องชินวัตร ที่ประเทศสิงคโปร์ เหมือนมีเป้าหมายเพื่อกดดัน หรือส่งสัญญาณยื่นข้อเสนออื่นที่ยังเก็บอยู่ในลิ้นชัก
"จริงๆ แล้วไม่ได้ และจะไปหาเสียงอะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น ตอนนี้กำลังให้ติดตามดูอยู่ว่าใครทำผิดกติกาเหล่านี้บ้าง หลายคนฉวยโอกาสเหมือนกัน แม้กระทั่งช่วงสงกรานต์ไปเดินที่นั่นที่นี่ คุยกับคนนั้นคนนี้ เป็นการหาเสียงหรือไม่ กำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูอยู่" พลเอกประยุทธ์ระบุ
ท่าทีของพลเอกประยุทธ์จึงไม่อาจแปลความเป็นอย่างอื่น นอกจากการเตือนนักการเมือง ในกลุ่มที่เป็นพันธมิตร ยึดโยงเกี่ยวเกาะอยู่กับ "ทักษิณ ชินวัตร"
ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ นำโดย "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - ปิยบุตร แสงกนกกุล" ที่ลงพื้นที่ไปก่อนรับรองการจดทะเบียนพรรค หรือแม้กระทั่ง ส.ส.ที่ออกไปพบคนเคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศ จะถูกจับ แพ้ฟาวล์ ไปก่อนที่จบเกมการเลือกตั้ง
ทำให้การชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ไม่มีนักการเมืองเข้าเป็นแกนนำเคลื่อนไหว ถือธงนำ ปล่อยให้ "คนหน้าเดิม" ตามที่ฝ่ายมั่นคงระบุ เคลื่อนทัพจัดกิจกรรม อีเวนต์ เป็นหัวเชื้อไว้รอ "ไฟเขียว" หากต้องการขยายผลการเคลื่อนไหว
ขณะเดียวกัน พลเอกประยุทธ์ก็สั่งไปยังหน่วยงานด้านความมั่นคง จัดทำคู่มือการปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุม โดยมีปมประเด็นสำคัญคือ เพื่อป้องกันไม่ให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่หมุนเวียนเข้ามาสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปอ้างว่า คสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน ตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ต้องการใช้ต่างประเทศกดดันต่อรอง คสช.เพื่อประโยชน์ของตนเอง
ในขณะที่ศึกในสนามเลือกตั้ง ที่ คสช.เปิดหน้าแข่งขันทางการเมือง ด้วยการยื่นมือให้นักการเมืองหน้าเก่าเข้ามาร่วมงาน เพื่อจัดสูตรในการเลือกตั้งครั้งหน้าในฐานะพันธมิตรที่สนับสนุน "บิ๊กตู่" เป็นนายกรัฐมนตรี กลับกลายเป็นหอกกลับมาทิ่มแทงคนใน คสช.ในที่สุด
อภิมหา "คอนเน็กชั่น" และ" ซาร์เศรษฐกิจ" อย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่เขียนแผนที่ทางการเมือง ลงทุนเป็น "เอเยนต์" ในการผูกเสี่ยว หาแนวร่วมนักการเมือง ทำฐานคะแนนนิยมผ่านมาตรการ นโยบายทางเศรษฐกิจ ผนวกเข้ากับกลุ่มทุน สร้างฐานพลังที่เข้มแข็งให้ คสช. ก็เริ่ม "น่วม" ตามพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สถานะ"ลมใต้ปีก ของ "บิ๊กตู่" ไปอีกคน
ขณะที่ดีกรีแค่ "ลูกหาบ" อย่าง "จิรายุ ห่วงทรัพย์" ยังกล้าซัด เฮียกวง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นผู้รับใช้เผด็จการ เปลี่ยนข้างจาก "ทักษิณ" มาอยู่กับ "ทหาร
"นายสมคิดเคยทำงานเป็นลูกน้อง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มานานหลายปี ได้ร่ำเรียนวิชาความรู้ในการบริหารประเทศได้ แนวคิดของนายทักษิณที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย แต่วันนี้กลับใช้วิชาที่ได้เรียนรู้กับนายทักษิณมารับใช้รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจของประชาชน" นายจิรายุกล่าว
นั่นอาจเป็นเพราะก้าวย่างทางการเมืองของ คสช.ในขณะนี้รุกหนัก แต่ยังไม่ได้เปรียบ เพราะ "พลังดูด" ที่ถูกตั้งคำถามจากสังคม ในการดึงเอานักการเมืองหน้าเก่าเข้ามาสะสมแต้ม ทั้งการให้ตำแหน่งทางการเมือง โปรโมตจัดโครงการและงบประมาณเมื่อลงไปประชุมคณะรัฐมนตรี หรือลงพื้นที่ โดยเชื่อว่าเมื่อมีการใช้ยี่ห้อพรรคทหาร หรือ "บิ๊กตู่" เต็มตัวการันตีแล้ว ส.ส.จะเข้ามาร่วมด้วยแน่นอน อีกทั้งยังเป็นคำมั่นสัญญาว่าจะสนับสนุน คสช.หลังการเลือกตั้งเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
แต่หลายพื้นที่พบว่า การใช้ "พรรคทหาร" หรือ "พรรค คสช." ไปหาเสียง สุ่มเสี่ยงที่จะสอบตก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน หรือภาคกลางบางส่วน
ทำให้กระแสข่าวเรื่องการปลุกพรรค คสช.ให้เป็นพรรคใหญ่ ขายความเป็นพลเอกประยุทธ์ น่าจะถูกพับเก็บและใช้การแยกกันเดินร่วมกันตีในภายหลังแทน โดยพรรคเล็กและพรรคขนาดกลางจะสมัครในนามของพรรคตนเองไปก่อน ในขณะที่ คสช.มีหน้าที่ต้องไปคิดสูตรลดทอนเก้าอี้ของพรรคเพื่อไทย ไม่ให้เกิน 200 เสียง
"ไปไหนไม่ได้หรอก ส.ส.เหนือ อีสาน อย่าคิดไปไหนเลย ใครไปก็สอบตกได้เลย จะว่า ส.ส.เขาไม่ได้ เพราะอยู่ที่ประชาชนจริงๆ สำหรับพรรคนี้ สำหรับตอนนี้ คนที่ไปก็ไปด้วยเหตุผลความจำเป็น คือถูกบังคับ แต่ถ้าใครไปก็เหนื่อย คนไปจะตอบชาวบ้านอย่างไร ไปหาเสียงอย่างไร ตอบอย่างไรว่าไปทำไม" วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีต ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าว
สมการทางการเมืองของ คสช.ในขณะนี้ จึงยังไม่ได้ข้อสรุป อีกทั้ง "ขุนพล" ระดับที่สะสมอำนาจ บารมี สมอง ทุน ไว้ครบ ยังไม่สามารถสร้างสรรค์เกมให้ "บิ๊กตู่" เข้าฮอร์สทางการเมืองได้อย่างง่ายได้ แม้จะมีทั้งกองทัพ เงิน อำนาจ และทุกองคาพยพสนับสนุน แต่การยึดฐานที่มั่นด้วยการ "ดูด" ส.ส.มาไว้ในเข่งก็ยังเป็นเรื่องยาก
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" จะเคลื่อนทัพมาประชิด ให้เกิดภาพการ "ขี่" คสช. ยั่วให้ "บิ๊กตู่" อัดอั้นตันใจ เหมือนเป็นการกดดัน เดินเกม ยังไม่นับปรากฏการณ์ใต้ดินก่อนหน้านี้ในการดิสเครดิตหลายๆ องค์กร-สถาบันหลัก ผ่านปรากฏการณ์ที่สลับซับซ้อนที่ผุดขึ้นเป็นข่าว
เหนืออื่นใด สิ่งที่เป็น หนามตำใจ ชินวัตร คงหนีไม่พ้นเรื่องคดีความ คำสั่งยึดทรัพย์ และอีกหลายคดีที่ตามมาเป็นระลอก ดังนั้นการเมืองเพื่อประชาชน ต่อต้านเผด็จการ สถาปนาประชาธิปไตย เดินหน้าเพื่อเลือกตั้งเป็นคำ สำรอก ที่แค่อ้าปาก ต่างเห็นลิ้นไก่ทะลุไปถึงไส้พุง
การต่อรองจึงไม่ใช่เพื่อไทยในการสู้ศึกการเลือกตั้ง แต่เพื่อเป้าหมายเฉพาะตัวที่ต้องหลุดพ้นพันธนาการทางคดีให้ได้ ดังนั้นข่าวการเปิดเกมเพื่อเจรจาต่อรอง จึงไม่ใช่แค่ข่าวปล่อยเพื่อสร้างกระแส หากแต่เป็นสัญญาณที่รอการเชื่อมต่อ โดยมีการเมืองในเรื่องของพรรค และม็อบ เป็นเครื่องต่อรอง
นักการเมืองที่เป็นนกรู้ทุกเรื่อง จึงต้องรอดูจังหวะและสถานการณ์ในอนาคต เพราะเอาเข้าจริงหาก "ทักษิณ" พลิกเกมต่อรองได้ นำไปสู่ข่าวมโน รัฐบาลแห่งชาติ- รัฐบาลปรองดอง กลายเป็นจริง เหล่าบรรดานักการเมืองก็กลายเป็นแค่เบี้ย เมื่อ "ขุน" ยอม "ล้มมวย" ในที่สุด
ส่วนเรื่องการข้ามผ่านแม้วให้ "เพื่อไทย" เป็นสถานการณ์การเมือง ปราศจาก "บริษัท ชินวัตร จำกัด" นั้นเป็นแค่ ข่าวโจ๊ก ที่เอาไว้อ่านคั่นอารมณ์
หมากในกระดาน หมากรุก ที่เล่นกันระหว่าง คสช. และทักษิณ จึงเดิมพันกันด้วยอำนาจหลังการเลือกตั้ง การเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้จึงเป็น "เกม" ที่มีชัยชนะเป็นเป้าหมาย ในขณะที่ ประชาชน ไม่ได้อะไรจากเกมที่ต่อสู้แม้แต่น้อย
ทศวรรษแห่งเกมที่ผ่านมา เลยทำให้ประชาธิปไตยที่ "ไม่จริง" ก็ยังอ่อนแออยู่เหมือนเดิม ขบวนการประชาชนแตกแยก ไร้น้ำยา ทุจริต-คอร์รัปชันกระจายไปทุกหย่อมหญ้า การปฏิรูปยังเหลวและไร้ผล ประชาชนยังยากไร้ เสพติดประชานิยม-ประชารัฐไม่จบสิ้น ฯลฯ
อนาคตข้างหน้ายังเทาๆ เมื่อ "ทักษิณ" ยังดิ้น - คสช.ยังสะดุด!!!.
"ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ นำโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ลงพื้นที่ไปก่อนรับรองการจดทะเบียนพรรค หรือแม้กระทั่ง ส.ส.ที่ออกไปพบคนเคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศ จะถูกจับแพ้ฟาวล์ไปก่อนที่จบเกมการเลือกตั้ง "
"ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์จะเคลื่อนทัพมาประชิด ให้เกิดภาพการขี่ คสช. ยั่วให้ "บิ๊กตู่" อัดอั้นตันใจ เหมือนเป็นการกดดัน เดินเกม ยังไม่นับปรากฏการณ์ใต้ดินก่อนหน้านี้ในการดิสเครดิตหลายๆ องค์กร-สถาบันหลัก ผ่านปรากฏการณ์ที่สลับซับซ้อนที่ผุดขึ้นเป็นข่าว"
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |