พรรคตั้งใหม่ ในสถานการณ์พลังดูด


เพิ่มเพื่อน    

พลังดูด โดยพรรคทหาร

ทำดีล-มีคุยกันไว้แล้ว

     ผ่านพ้นช่วงให้สมาชิกพรรคการเมืองเก่าหรือพรรคการเมืองที่จัดตั้งก่อนการประกาศใช้ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ฉบับปัจจุบัน พ.ศ.2560 มายืนยันการเป็นสมาชิกพรรคไปแล้วเมื่อ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา  โดยทุกพรรคพบว่ายอดสมาชิกมายืนยันตัวลดลง บางพรรคยอดยืนยันเมื่อเทียบกับจำนวนเดิมพบว่าหายไปจำนวนมาก ขณะเดียวกันตอนนี้ก็มีความเคลื่อนไหวการเมืองว่าด้วย เรื่องการดูดอดีต ส.ส.-ดูดนักการเมือง เพื่อให้ย้ายพรรค เปลี่ยนค่ายกันมากขึ้น

     ในมุมวิเคราะห์ของพรรคการเมืองใหม่ที่ยื่นขอจัดตั้งพรรคใหม่ต่อสำนักงาน กกต. อย่าง พรรคพลังธรรมใหม่ ซึ่งเป็นการรีเทิร์น-รีแบนด์พรรคเดิม พรรคพลังธรรม ที่ตั้งโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง และเคยเป็นพรรคที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยเป็นนายทุนและหัวหน้าพรรคมาแล้ว

     นพ.ระวี มาศฉมาดล ผู้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมใหม่ ซึ่งชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อใหม่ทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะมีประสบการณ์การเมืองทั้งในพรรคการเมืองและการเมืองภาคประชาชนมาหลายสิบปี ตั้งแต่ยุค 6 ตุลาคม 2519 และเริ่มเข้าสู่การเมืองกับพรรคพลังธรรมตั้งแต่ยุคแรกๆ บทบาทการเมืองล่าสุด คือเป็นหนึ่งในแนวร่วม กปปส.-อดีตแกนนำกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย ซึ่ง นพ.ระวีได้วิเคราะห์ทิศทางการเลือกตั้ง-การเมืองในช่วงต่อจากนี้ โดยเฉพาะความพยายามของเครือข่าย คสช.ในการตั้ง พรรคทหาร และเส้นทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มองว่ามีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสูงมาก

     นพ.ระวี-ผู้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมใหม่ พูดเข้าประเด็นเลยว่า ปรากฏการณ์การดูดนักการเมืองให้ย้ายพรรคเวลานี้ ชัดเจนว่าเป็นปรากฏการณ์น้ำเน่าทางการเมือง และยังสวนทางกับรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง เพราะคนที่ไปดูดมา มีคำถามจากคนในสังคมว่าคุณจะปราบโกงหรือจะแบ่งเค้กกันแน่ สวนทางกับเส้นทางปฏิรูปที่ คสช.วางไว้ว่าบิ๊กตู่จะมาปฏิรูป แต่ตอนนี้ที่มีการดูดกันทางการเมืองมันสวนทางกัน

     อย่างไรก็ตาม นพ.ระวี ให้มุมมองว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่ามองในมุมใด หากมองในแง่ร้ายก็เหมือนกับที่นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ แกนนำพรรค ปชป.พูดว่าตอนนี้ไข้เลือดออกกำลังระบาดในเมืองไทย สิ่งที่ คสช.ทำมันคือน้ำเน่าทางการเมือง เมื่อมีน้ำเน่าก็เกิดยุงลายไปกัดพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย พรรคเครือข่ายเพื่อไทย เกิดไข้เลือดออกจากพรรคเหล่านี้ ไหลมาที่พรรคทหารที่กำลังจะตั้งขึ้น แต่หากมองในแง่ดี เป้าหมายของบิ๊กตู่คือต้องการรีเทิร์นกลับมาเป็นนายกฯ ตอนนี้บิ๊กตู่เหมือนเป็นผู้ร้าย แต่หากเขาเกิดได้เป็นรัฐบาลกลับมา แล้วมาทำปฏิรูปจริงจัง เขาก็เป็นพระเอกตอนท้าย แต่หากเขาไม่ปฏิรูปจริงจัง ก็เป็นผู้ร้ายตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ

      นพ.ระวี กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นตามที่ประกาศไว้คือ ก.พ.ปีหน้า จะเป็นการปะทะกันดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เงินจะเดินสะพัดนับแสนล้านบาท เพราะมี 2 พรรคที่มีความพร้อม ในอดีตมีแค่เพื่อไทยพรรคเดียวที่มีความพร้อม เลือกตั้งกี่สมัยก็หยุดไม่ได้ ในอดีตพวกนายทหารที่ทำพรรคการเมือง เช่น สมัยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ สมัยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ลงเลือกตั้งไม่กี่ครั้งหรือครั้งเดียวก็หายไปแล้ว แต่รอบนี้พรรคทหารที่จะตั้งขึ้น คงไม่หายไปง่ายๆ เพราะมีการเตรียมการตั้งพรรคไว้เพื่อไม่ให้ยุติไปโดยง่าย

     ..ทำให้การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นดุเดือดที่สุด เพราะสำหรับทักษิณ ชินวัตร จะเป็นการเลือกตั้งที่เป็นสงครามครั้งสุดท้าย ต้องไม่ลืมว่าถึงตอนเลือกตั้ง เพื่อไทยหยุดการเป็นรัฐบาลมา 4 ปีกว่า แต่ถึงตอนนั้นทักษิณก็อายุจะ 70 ปีแล้ว หากเลือกตั้งรอบนี้ทักษิณแพ้ บิ๊กตู่ได้เป็นนายกฯ แล้วรัฐบาลอยู่โดยราบรื่น คงไม่ได้อยู่กันแค่ปีเดียว จะต้องวิ่งอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อีก 4-5 ปี ถึงตอนนั้นทักษิณก็อายุมากแล้ว

     ...ทักษิณต้องทุ่มสุดๆ เป็นสงครามครั้งสุดท้าย ในทางการลงทุน หากทักษิณไม่จ่ายตอนนี้ อนาคตไม่มีโอกาสจ่าย ขณะเดียวกันฝ่าย คสช. บิ๊กตู่ ก็ต้องพยายามเอาชนะทักษิณให้ได้ ไม่ว่าทักษิณมาไม้ไหน บิ๊กตู่ต้องทุ่มทุกด้าน เพื่อเอาชนะให้ได้ ศึกครั้งนี้จึงใหญ่หลวง ทำให้การเมืองจะปะทะดุเดือด

     ...แล้วครั้งนี้เพื่อไทยไม่ได้รบพรรคเดียว แต่มาเป็นทีม มีแนวร่วม ไม่ใช่พรรคเสียบ แต่เป็นแนวร่วมเพื่อไทยเลย มีหลายพรรค ขณะเดียวกันฝ่าย คสช.ก็ไม่ได้มีแค่พรรคทหาร พลังประชารัฐ พรรคเดียว แต่มีพรรคแนวร่วมด้วย เช่น ฝ่าย กปปส.-พรรคประชาชนปฏิรูปของไพบูลย์ นิติตะวัน หรือพรรคพลังชาติไทย ของ พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ และอีกหลายพรรค

     ส่วนพรรคเสียบ มีทั้งพรรคเก่า และพรรคใหม่ พวกนี้หากฝ่ายไหนได้เปรียบก็จะขอเสียบ ขออยู่ด้วยทันที ในอดีตเพื่อไทยสู้กับประชาธิปัตย์ แต่รอบนี้ไม่ใช่ จะมีพรรคแนวร่วมด้วย

     ...การเมืองไทยที่จะเกิดในอนาคต มองว่าอาจจะมีปัญหา เพราะมีพรรคเล็กพรรคน้อยมากมาย อาจจะมีพรรคได้ ส.ส. 1-3 คน จำนวนมาก ก็อาจจะถูกดึงไปร่วมตั้งรัฐบาล ทำให้เมื่อไปร่วมรัฐบาล มองเห็นภาพได้ว่า แม้จะเป็นเรื่องดี ที่จะมีพรรคซึ่งเป็นตัวแทนคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปเป็นรัฐบาล แต่ก็จะเกิดสภาพที่เวลามีการโหวตเรื่องสำคัญ จะต้องมีการลงทุน

     หมอระวี วิเคราะห์การเมืองและการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยโฟกัสไปที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคเวลานี้ เริ่มจาก พรรคเพื่อไทย ที่เขาประเมินวิเคราะห์ว่า สำหรับพรรคเพื่อไทยต้องบอกว่าเมื่อผมมาทำพรรคพลังธรรมใหม่ ผมเดินสายมาแล้ว 51 จังหวัด ผมเห็นเลยว่ากระแสนิยมพรรคเพื่อไทยสูงมาก เป้าหมายของเพื่อไทยผมมองว่าต้องให้ได้ 230 เสียง ที่จะเป็นตัวเลขชี้ขาดชัยชนะเพื่อไทย หากทำได้ตามเป้า แล้วพรรคแนวร่วมของเพื่อไทยทำได้ตามเป้าอีก จนรวมกันจัดตั้งรัฐบาลได้เกิน 250 เสียง โอกาสเกิดนายกฯ คนนอกก็เป็นศูนย์ ดับฝันประยุทธ์ โดยเพื่อไทยก็ต้องพยายามทำให้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ทำได้ตามยอดที่เคยได้ในอดีต เช่น ที่เคยได้ตอนเลือกตั้งรอบที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 49 เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้ ส.ส.ตามเป้า 230-240 เสียง

เพื่อไทยจะเดินเกม โดยในระบบเขตเพื่อไทยจะต้องส่งตัวจริงลงเต็มทุกพื้นที่ อย่างรอบที่แล้วบางพื้นที่เช่นภาคใต้ เพื่อไทยเขาไม่เอาเลย ทั้งที่ในภาคใต้เสื้อแดงมีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เช่นประชากร 180,000 ซึ่ง 10 เปอร์เซ็นต์ก็ประมาณ 18,000 คน ทำให้เมื่อไม่สู้ เพื่อไทยก็ได้แค่บางเขต 1-2 พันคะแนน แต่รอบนี้เพื่อไทยคงลงมาสู้จริง เพราะที่ผ่านมาอย่างภาคใต้ลงไปยังไงก็แพ้ คะแนนก็หายไป แต่คราวนี้เพื่อไทยคงส่งตัวจริงลงสู้แล้วอัดเงินลงไป หากทำได้สัก 20,000 ต่อเขต ภาคใต้มี 49 เขต ก็ได้มาล้านกว่าคะแนน นอกจากนี้ในเขตพรรคการเมืองเครือข่ายเพื่อไทย หากเขตไหนที่ไม่ได้ไปตกลงกับเพื่อไทย ทางเพื่อไทยจะส่งคนลงไปบี้หมด หากไม่ตกลงกับเขาก่อน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สุพรรณบุรี บุรีรัมย์ ก็ส่งลงไปบี้หมด

     ...350 เขต คูณด้วย 30 ล้านต่อเขต ก็ระดับหมื่นล้านเท่านั้นเอง เขาบี้เพื่อเอาคะแนนสัดส่วนขึ้นมา หากทำได้ตามเป้า คือให้ได้เท่าเดิมสัก 49 เปอร์เซ็นต์ แม้ต่อให้จะมีพรรคเล็กพรรคน้อยมาแย่งคะแนน หากเพื่อไทยทำได้ตามเป้า บิ๊กตู่จบเลย

     ดังนั้นเพื่อไทยก็จะทุ่มแหลก ที่มีการบอกกันว่า รธน.ที่ใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม นับทุกคะแนนเสียง แล้วจะทำให้พรรคเพื่อไทย ดูแล้วอาจไม่ใช่ เพราะหากเขาทำคะแนนสัดส่วนให้ได้ถึงครึ่ง พรรคก็จะได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่งของสภา ที่ก็จะครองเสียงข้างมาก ต่อให้ผู้สมัคร ส.ส.เขตของพรรคแพ้บ้างก็ไม่เป็นไร เพราะ รธน.บัญญัติให้พรรคการเมืองได้ ส.ส.ตามคะแนนที่ได้จากทั่วประเทศ

     เพื่อไทยก็จะรบเต็มพื้นที่ ประชาธิปัตย์ก็จะมีคะแนนลดลงเมื่อเจอศึกนี้เข้า ในภาคใต้ แม้ประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส.เขต แต่คะแนนที่ได้ก็จะลดลง หากเพื่อไทยสู้เต็มที่

        -ที่บอกว่าเดินสายไปหลายสิบจังหวัด พบว่าคะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยยังสูงมาก เป็นเพราะอะไร?

     ผมเดินสายไปคุยหลายจังหวัด อย่างภาคเหนือคนยังเชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร ยังทำงานได้ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ที่เคยทำแล้วรัฐบาลทำตอนนี้ คนก็บอกว่าไปเดินตามก้นเขา แล้วหลายที่รวมถึงกองเชียร์ คสช.เขาก็บอกว่า รัฐบาลตอนนี้ไม่ปฏิรูปจริง ไม่ทำจริง 4 ปีที่ผ่านมา คนเปิดโอกาสให้ แต่กลับทิ้งโอกาสทอง หากบิ๊กตู่ทำดี ผมจะตั้งพรรคการเมืองทำไม

     หากเพื่อไทยรวบรวมเสียง ส.ส.จัดตั้งรัฐบาลได้เกิน 300 เสียง ถามว่าบิ๊กตู่จะมาใช้เสียง ส.ว. 250 เสียง มาบีบเพื่อไทยไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่มีความชอบธรรม แต่หากว่าเพื่อไทยได้ 200 กว่าเสียง ยังอาจพอไล่บี้ได้

พรรคทหารกับพลังดู

     นพ.ระวี-อดีตแกนนำเครือข่าย กปปส. กล่าวต่อไปถึงการเกิดขึ้นของ พรรคทหาร ว่า เคยวิเคราะห์ไว้หลายเดือนก่อนหน้านี้ว่า บิ๊กตู่ต้องตั้งพรรคทหาร เพราะทางเดินที่สวยที่สุดของบิ๊กตู่ก่อนหน้านี้คือ กลับมาเป็นนายกฯ คนนอก โดยบอกว่าพวกคุณนักการเมืองตกลงกันไม่ได้ ต้องไปเชิญบิ๊กตู่เข้ามาเป็นนายกฯ คนนอก แต่มันเป็นความเพ้อฝัน อย่างที่ผมวิเคราะห์คือ หากพรรคเพื่อไทยได้เกิน 250 เสียง ปิดทางเลยนายกฯ คนนอก ตอนนี้บิ๊กตู่ทำเพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นนายกฯ เขาก็ต้องตั้งพรรคทหาร ซึ่งผมเคยวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้เมื่อหลายเดือนที่แล้ว ว่าจะมีการตั้งพรรคทหารแล้วบิ๊กตู่ต้องมาเส้นทางนายกฯ คนใน ซึ่งวันนี้ชัดแล้ว ตั้งพรรคทหาร เพราะหากพลาด เพื่อไทยได้เสียงข้างมาก ที่บิ๊กตู่รอจะเป็นนายกฯ คนนอก ทุกอย่างสูญเลย

     อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือ หากบิ๊กตู่จะเป็นนายกฯ คนใน จะอยู่พรรคไหน หากไปไล่เรียงดู ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังชาติไทย ของพลตรีทรงกลด พรรคประชาชนปฏิรูปของไพบูลย์ หรือพรรค กปปส. ทั้งหมดดูแล้ว บิ๊กตู่คงไปอยู่กับพรรคพวกนี้ไม่ได้ จากเหตุผลเรื่องนโยบาย บุคลิก อีกทั้งเสี่ยงเกินไป เพราะ 3 พรรคดังกล่าว อาจไม่ได้ ส.ส.ถึง 25เสียง ดังนั้นบิ๊กตู่มีทางเดียว ต้องตั้งพรรคทหาร และต้องได้ ส.ส.อย่างน้อย 50 คน แต่ก็เชื่อว่าเขาคงตั้งเป้าจริงๆ เกิน 100 เสียง เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยง

     ส่วนการทำให้ได้ ส.ส.เกิน 50 เสียงจะทำอย่างไร ก็คือสาเหตุที่ต้องมีการ ดูด แล้วก็ใช้เงินเกินดุลเพื่ออัดลงไปในโครงการต่างๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน เพื่อหาเสียงพูดง่ายๆ แล้วก็ทำงานเป็นระบบ

     พรรคทหารมีนักยุทธศาสตร์ นักยุทธวิธี เขาคิดแล้วว่าจะชนะพรรคเพื่อไทยได้ยังไง คือทำให้เพื่อไทยได้ ส.ส.ไม่เกิน 200 เสียง ที่หากทำได้ บิ๊กตู่กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ ซึ่งยุทธศาสตร์ที่ฟังก์ชั่นที่สุด ก็คือการ ดูด ที่ก็ต้องเน้นไปที่พรรคเพื่อไทย ส่วนประชาธิปัตย์ก็ดูดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าเป็นผม ผมก็เชื่อว่าบิ๊กตู่คงตั้งเป้าดูดอดีต ส.ส.เพื่อไทย ไม่ต่ำกว่า 150 คน โดยหากพรรคทหารได้ ส.ส.เกิน 100 เสียง การเป็นนายกฯ ของบิ๊กตู่ หลังเลือกตั้งก็สง่างาม

     พรรคทหาร บวกประชาธิปัตย์ บวกพรรคแนวร่วม และบวกพรรคเสียบ โดยมีพรรคทหารที่มี ส.ส.ระดับเกิน 100 เสียงขึ้นไป ก็สง่างามสำหรับบิ๊กตู่ที่จะกลับมาเป็นนายกฯ หรือแม้แต่พรรคทหาร ถึงหากได้สัก 50 เสียง ก็ยังโอเคอยู่ หากรวมคนได้ แต่พรรคเพื่อไทยต้องได้ ส.ส.ต่ำกว่า 200 เสียง แค่นี้บิ๊กตู่ก็ได้เป็นนายกฯ

      นพ.ระวี วิเคราะห์อีกว่า การดูดก็อาจแยกเป็น 2 กลุ่ม คือหนึ่ง ดูดพวกที่มีศักยภาพเข้มแข็ง เช่นพวกคนของเพื่อไทยหรือแนวร่วมพรรคเพื่อไทย ที่เป็นกลุ่มคนซึ่งมั่นใจว่าดูดเข้ามาแล้ว จะทำให้พรรคได้ ส.ส.ในการเลือกตั้ง สู้กับฝ่ายเพื่อไทยได้ เช่น กลุ่มสะสมทรัพย์ กลุ่มชลบุรี และกลุ่มอื่นๆ ที่จะดูดมา เช่น กลุ่มสมศักดิ์ เทพสุทิน กลุ่มสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่เป็นกลุ่มซึ่งมีศักยภาพในพื้นที่ กลุ่มที่สอง คือดูดคนของเพื่อไทย ที่ดูดมาแล้ว อาจจะแพ้เลือกตั้ง คือไปดูดอดีต ส.ส.เพื่อไทยมา แล้วเพื่อไทยส่งคนอื่นลงแทน แล้วสู้กัน คนที่พรรคทหารไปดูดมา อาจเกิดพลิกล็อกแพ้คนของเพื่อไทย

     ...อย่างไรก็ตาม ต่อให้แพ้ แต่ก็คุ้ม เพราะเมื่อดูดมาได้ คะแนนสัดส่วนของเพื่อไทยก็จะลดลง เช่น หากไปดูอดีต ส.ส.อีสานหรือภาคเหนือของเพื่อไทยออกมา โดยมีฐานคะแนนอยู่ที่ 80,000 คะแนน แล้วเพื่อไทยส่งคนใหม่มาลงแทน เช่น เป็นอดีต ส.จ. นายกฯ อบจ. ซึ่งต่อให้คนใหม่ของเพื่อไทยชนะ คะแนนก็จะไม่มาก อย่างมากก็ 60,000 คะแนน เพราะจะมีพรรคอื่นไปตัดคะแนนอีก คะแนนจาก 80,000 เหลือ 60000 คะแนน หายไป 20,000 คะแนน ถ้าร้อยคน หายไป 20,000 ก็เท่ากับ 2 ล้านคะแนนแล้ว ส่วนคนของพรรคทหาร แม้แพ้เลือกตั้ง แต่เมื่อมีการทุ่มหลายอย่างลงไป ก็อาจได้มา 40,000 คะแนน หากแม้แพ้สัก 100 คน ก็เท่ากับ 4 ล้านเสียงแล้ว นี่คือพลังดูด

     นพ.ระวี วิเคราะห์พรรคทหารที่กำลังเคลื่อนไหวต่อจากนี้ว่า ครั้งนี้เป้าหมายของเขาจะง่ายกว่าเพื่อไทย เพราะเขามี ส.ว. 250 เสียง แล้วหากบวกเสียง ส.ส.พรรคทหาร บวกประชาธิปัตย์และพวกพรรคแนวร่วมที่หากพรรคเหล่านี้ได้ ส.ส.รวมกันเกิน 250 เสียง บิ๊กตู่ก็เป็นยาวเลย เพราะมี ส.ว.หนุน

ปชป.ได้ ส.ส.ต่ำกว่า 100 เสียง

     ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ ทาง นพ.ระวี-ผู้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมใหม่ วิเคราะห์ไว้ว่า สำหรับ ปชป. ทำนายว่าต่ำกว่า 100 เสียงแน่นอน จากปัจจัยต่างๆ เช่น เรื่องของกระแสนิยม แล้ว ปชป.ไม่เกิดสิ่งใหม่ๆ รวมถึงเพราะจะมีการเกิดขึ้นของพรรค กปปส.มาแย่งเสียง ยกเว้นแต่พรรค กปปส.ไม่ลงสนามเลือกตั้ง สุเทพ เทือกสุบรรณ เปลี่ยนใจ ไม่ตั้งพรรค ถ้าแบบนี้ ปชป.ก็อาจได้ ส.ส.เกิน 100 เสียง แต่หากสุเทพตั้งพรรค ประชาธิปัตย์จะถูกแย่งทั้ง ส.ส.เขตและสัดส่วน ทำให้ ปชป.ยากที่จะได้ ส.ส.เกิน 100 เสียง อย่างตอนนี้ยังไม่เห็นข่าว จะมีคนดีๆ เข้าสังกัดพรรค

     ...อย่างไรก็ตาม ปชป.จะเป็นตัวแปรสำคัญ จะเป็นพรรคหลัก คือ ปชป.ไปอยู่กับขั้วไหน ฝ่ายนั้นเป็นรัฐบาลเลย เช่น หาก ปชป.ได้ ส.ส. 80-90 เสียง หาก ปชป.เลือกจะไปอยู่กับพรรคไหน เช่น ถ้าเลือกเพื่อไทย คนเพื่อไทยก็เป็นนายกฯ หากเลือกอยู่กับฝ่ายบิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ก็ได้เป็นนายกฯ ปชป.จะเป็นตัวหลัก พวกแกนนำพรรค ปชป.นั่งรอได้เลย แต่ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นในพรรคใน 2 ช่วงสำคัญคือ ตอนเลือกตำแหน่งต่างๆ ในกรรมการบริหารพรรค และตอนเข้าร่วมรัฐบาล แล้วต้องหาคนไปเป็นรัฐมนตรี

     ...แต่โอกาสที่ประชาธิปัตย์จะเลือกอยู่กับเพื่อไทยมีน้อยมาก เพราะจะเสีย ก็ต้องเลือกบิ๊กตู่ มองดูแล้ว ปชป.จะเป็นพรรคที่มีราคาทางการเมืองสูง แม้ ส.ส.จะลดน้อยลง ผมคิดว่ายุทธศาสตร์เพื่อไทยคือพยายามจะดึง ปชป.มาเข้าร่วม แล้วก็อาจให้คนของ ปชป.เป็นนายกฯ พยายามทอดสะพานให้ เพราะเป็นยุทธศาสตร์เดียวที่มั่นใจว่าจะสามารถสกัดบิ๊กตู่ได้ ทำให้พรรค ปชป.นอนมา เป็นพรรคเดียวที่ชัวร์ที่สุดว่าเป็นรัฐบาลแน่นอน จะได้เก้าอี้รัฐมนตรีหลายสิบตำแหน่ง กับการมี ส.ส.ประมาณ 80-90 เสียง แต่หากยอมเข้ากับเพื่อไทย คนของ ปชป.ขึ้นเป็นนายกฯ เลย

     ...เหตุเพราะเพื่อไทยไม่มีทางเลือกอื่น ส่วน ปชป.จะมาหรือไม่มา ก็อยู่ที่การตัดสินใจของ ปชป. ผมก็คงไม่ไปก้าวล่วงเขา แต่หากเขาตัดสินใจอย่างไร ในทางการเมือง ก็คงจะหาเหตุผลมาอ้างได้ แต่ผมก็มองว่าเขาก็คงเลือกฝ่ายบิ๊กตู่มากกว่า เพราะหากไปเลือกอยู่กับเพื่อไทย ปชป.ก็ตอบคำถามสังคมยาก ยกเว้นมีกรณีพิเศษ เช่น เกิดความไม่ลงตัว มีความปั่นป่วนในสภาฯ แล้วเกิดความผิดพลาดของพลเอกประยุทธ์ แบบนี้ก็อาจเกิดความชอบธรรมที่จะอ้าง

     ส่วนที่มีสมาชิกพรรค ปชป.กลับมายืนยันตัวเองน้อย แค่ 9 หมื่นจากยอดเดิม 2 ล้านกว่า ผมว่าปชป.เขาปล่อยไปตามธรรมชาติ เพื่อดูว่าจะมากน้อยแค่ไหนที่จะเอาด้วยกับพรรค ปชป. เพราะยังไงหลังปลดล็อกก็ยังให้สมาชิกกลับมาสมัครใหม่ได้ ก็เลยปล่อยตามธรรมชาติแล้วบอกว่า ปชป.โดนกลั่นแกล้ง ทำให้สมาชิกพรรคต้องลุกขึ้นสู้

     นพ.ระวี กล่าวอีกว่า สำหรับพรรคอื่นๆ เช่น พรรคภูมิใจไทย, ชาติไทยพัฒนา, พลังชล กลุ่มนี้ต้องแยกเป็นสองส่วน เช่นบางกลุ่มก็อาจพยายามดูดเข้าไปเลย เช่นพลังชล เพราะเป็นการสร้างความมั่นคงให้ ส่วนพรรคที่เหลือก็พร้อมที่จะเสียบเมื่อมีความพร้อม อย่างภูมิใจไทยก็เคยร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ทักษิณไม่พอใจ ก็ทำให้ภูมิใจไทยมีแนวโน้มที่จะเลือกอยู่กับฝ่ายบิ๊กตู่มากกว่าเพื่อไทย แต่อนาคตเราก็ไม่รู้

     เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา ก็คาดว่าการตัดสินใจของพรรคเหล่านี้ก็น่าจะได้รับการติดต่อจากทั้งสองฝ่าย แต่ก็อยู่ในช่วงการตัดสินใจว่าจะอยู่ข้างไหนดี

     มันไม่ใช่แค่การดูดด้วยกำลังเงินอย่างเดียว แต่ดูดด้วยเหตุว่าการเมืองหลังเลือกตั้งพรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาล ส.ส.พรรคไหนเป็นฝ่ายค้านก็อาจอดอยากปากแห้ง คือหากยังอยู่พรรคเดิมก็อาจได้เงินจากพรรคเดือนละแสน แต่ก็เท่านั้น แต่หากไปอยู่กับพรรคที่จะได้เป็นรัฐบาล มันไม่อดอยากปากแห้ง รวมถึงตำแหน่งด้วย อันนี้คือแฟกเตอร์ที่จะดูดกัน

-โอกาสของพลเอกประยุทธ์ในการกลับมาเป็นนายกฯ รอบสอง?

     หากดูตามช่องทางต่างๆ ผมว่ามีโอกาสเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะมีหลายแฟกเตอร์มารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นที่เห็นตอนนี้ทั้งการใช้พลังดูด หรือการเดินสายหาเสียงตลอดช่วงที่ผ่านมาหลายปี และยังมีเสียง ส.ว. 250 เสียงเป็นป้อมปราการ อีกทั้งมีพลังทางเศรษฐกิจที่ตุนไว้

     พรรคทหารที่จะตั้งขึ้นเป็นพรรคเดียวที่มีงบจะสู้กับทักษิณ ให้สู้ในการเลือกตั้งสามสมัยก็สู้ได้ หากเข้ามาเป็นนายกฯ แล้วมีปัญหาอะไรก็ยุบสภา ก็เลือกตั้งแล้วกลับเข้ามาใหม่ได้อีก ประเมินแล้วหากเกิดเป็นนายกฯ แล้วมีปัญหาอะไรขึ้นในสภาฯ นายกฯ เอาไม่อยู่ บิ๊กตู่ก็จะเลือกใช้วิธียุบสภาเป็นหลัก แล้วมีเลือกตั้งซึ่งพรรคไหนเงินไม่มากพอก็ตายเอง เพราะพรรคทหารมีความพร้อมด้านพลังทางเศรษฐกิจ

     พรรคผมไปประชุมตามจังหวัดต่างๆ อาจมีมา 15-20 คน แต่บิ๊กตู่ตอนนี้ไปไหนมีคนมารอจำนวนมาก ผมจึงคาดว่าถ้าพรรคทหารได้ ส.ส.เกิน 50 เสียงขึ้นไป บิ๊กตู่ก็กลับมาเป็นนายกฯ แล้ว แต่ต้องบี้เพื่อไทยให้ได้ ส.ส.ต่ำกว่า 200 เสียง สิ่งที่พรรคทหารทำตอนนี้ก็คือการพยายามดูด แถมยังประกาศว่าการดูดเป็นวัฒนธรรม ซึ่งหากดูจากช่วงเวลานับจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้ง พวกพรรคการเมืองใหม่ที่ต้องการทำการเมืองจริงๆ ก็ประสบความยากลำบากไม่ใช่น้อย แต่พรรคทหารไม่ลำบาก ผมวิเคราะห์แล้วพรรคเราพร้อม

      สำหรับแรงต้านบิ๊กตู่ มองว่าแรงต้านอย่างเดียวที่จะเกิดคือมีการเลื่อนโรดแมป ผมก็เชื่อว่าฝ่ายบิ๊กตู่มีทีมวิเคราะห์เส้นทางเดินทางการเมือง แต่หากพลาดทางการเมืองเขาก็ไป แต่ดูแล้วหากด่านแรกบิ๊กตู่ชนะ ทักษิณแพ้ พลังทักษิณจะทรุด เพราะมันจะยืดเยื้อยาวนานไปอีกหลายปี จึงเป็นเดิมพันสูงมาก  เพราะตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลมาจะ 4 ปีแล้ว กว่าจะเลือกตั้งเสร็จ รวมเวลาก็เกือบ 5 ปี หากบิ๊กตู่อยู่อีก 5 ปี เท่ากับฝ่ายทักษิณก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลมาสิบปี กลุ่มทุนต่างๆ ก็ต้องไปอิงอำนาจใหม่ ฝ่ายทักษิณก็เติมไปข้างเดียว หากไม่ได้ร่วมรัฐบาลก็ไม่ได้ถอนทุนคืน ฝ่ายสนับสนุนฝ่ายทุนทักษิณก็ต้องเริ่มคิดแล้ว หากต้องเติมโดยไม่มีอนาคต เพราะนักธุรกิจก็คือนักธุรกิจ ต้องคิดว่าเติมแล้วต้องคุ้ม ก็อาจคิดว่าไปเติมฝ่ายบิ๊กตู่จะคุ้มกว่า

- มีกระแสข่าวว่าคนในฝ่าย คสช.หรือมีคนบางกลุ่มเริ่มติดต่อ ทำดีลล่วงหน้ากับพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งพรรคจัดตั้งใหม่และพรรคการเมืองเก่าเพื่อเป็นแนวร่วมหลังเลือกตั้ง?

     อันนี้จริงเพราะพรรคทหารก็ต้องหาเครือข่าย หากพรรคไหนที่ดูแล้วเข้าท่าก็ต้องส่งคนมาคุย มาติดต่อ แต่พวกพรรคตั้งใหม่ เขาไม่ได้ดูด ก็ทำพรรคกันไป แต่หากเป็นพวกนักการเมืองพรรคเก่าเขาก็ดูดเช่นเดียวกัน พรรคเพื่อไทยเขาก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ก็ติดต่อเพราะเขาต้องทำเพื่อหาพรรคแนวร่วม  บางพรรคก็อาจได้ทุนจากพรรคทหาร บางพรรคก็ได้ทุนจากเพื่อไทย ก็เป็นพรรคเครือข่าย ส่วนพรรคเสียบก็มีอิสระของตัวเอง เป็นแนวร่วมกัน จังหวะไหนดีก็โอเค ก็เริ่มติดต่อ

- จากนี้ไปจนถึงช่วงเลือกตั้ง การดูดหรือการซื้อตัว ส.ส.จะมีมากขึ้นหรือไม่

     หากผมวิเคราะห์ ถ้าผมเป็นพรรคทหารต้องตั้ง 150 คน โดยเน้นดูดจากเพื่อไทย ถ้าดูดจากพรรคอื่นไม่ชนะ ถ้าจะชนะต้องดูดจากเพื่อไทย ส่วนปัจจัยที่จะทำให้ย้ายออกไปก็มีเช่นเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึงพวก ส.ส.ก็ต้องคิดว่าอยู่ที่ไหนถึงจะปลอดภัย คือได้กลับมาเป็น ส.ส.แล้วต้องได้เป็น ส.ส.รัฐบาล อันนี้ผมวิเคราะห์ ซึ่งทางการเมืองอะไรที่คนมั่นใจก็ทำเลย แต่เรื่องไหนยังไม่มั่นใจก็ต้องรอจนถึงจังหวะ  เพราะหากดูดตอนนี้แล้วจ่ายเงินเลย พอรับเงินไปแล้วก็อาจมีปัญหาภายหลัง แล้วพอจะทำเช่นบอกจะให้ 30 ล้านบาท แต่พอทักษิณรู้บอกให้ 35 ล้านบาท เพราะฉะนั้นมันต้องมีจังหวะ แต่ในการเจรจาเขาคุยกันแล้ว.

 

พลังธรรมรีเทิร์น  อะไรคือจุดขาย?

'เราจะเป็นแนวร่วมกับทุกพรรค'

      นพ.ระวี-ผู้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมใหม่ เปิดเผยว่าพรรคพลังธรรมใหม่จะมีการประชุมใหญ่ ผู้ร่วมจัดตั้งพรรคและสมาชิกพรรคในวันจันทร์ที่ 14 พ.ค. ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ปทุมธานี โดยทิศทางการดำเนินงานของพรรคพลังธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมองว่า ในภาวะตอนนี้การเมืองไทยไม่ว่าพรรคไหนขึ้นมา รวมถึงพรรคใหม่ที่จะตั้งขึ้นมา มันไม่เห็นอนาคตประเทศ มันยังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรปัญหาแบบเดิมๆ จนตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านเราแซงหน้าประเทศไทยไปหมดแล้ว หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ ก็จะเกิดวิกฤติการเมืองไทย จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องรีเทิร์นพรรคพลังธรรมสอง เพื่อหวังให้ได้การเมืองที่ดี คนดีเข้ามาทำงานการเมือง เพราะการเมืองไทยจะต้องมีพรรคการเมืองที่ซื่อสัตย์ ระบบการเมืองพรรคที่เข้มแข็ง

     ...พลังธรรมใหม่เราถือหลักปรัชญาที่ว่า ระบบดีทำให้ผีกลายเป็นคน ระบบไม่ดีทำให้คนดีกลายเป็นผี พรรคการเมืองในอดีต ผู้นำนักศึกษาหลายคนที่เข้าป่ามีอุดมการณ์ แต่พอมาเข้าการเมืองเจอระบบไม่ดี ทำให้คนดีๆ กลายเป็นผีไปหมด พรรคพลังใหม่จึงมุ่งสร้างระบบการเมืองที่ดี เพื่อให้ได้คนดีมาปกครองประเทศเพื่อแก้วิกฤติชาติ 

     การเลือกตั้งในสมัยแรกที่จะมีขึ้น เราก็ตั้งเป้าว่าต้องการมี ส.ส.เกิน 25 คน เพราะ รธน.บัญญัติว่าพรรคการเมืองที่มี ส.ส.เกิน 25 มีโอกาสเสนอคนเป็นนายกฯ ที่ก็คือพรรคพลังธรรมใหม่ต้องมีคะแนนเสียง 2 ล้านเสียงถึงจะได้ ส.ส.สัดส่วน 25 คน ก่อนหน้านี้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ คนเดียวยังเคยทำได้ล้านเสียงกับพรรคต้นตระกูลไทย พรรคพลังธรรมทั้งพรรคจะทำไม่ได้สองล้านเสียงให้มันรู้ไป

     ...การจะบรรลุเป้าหมายได้ต้องวางทุกอย่างให้เป็นระบบ ผมใช้เวลาสามปีในการทำงานการเมืองครั้งนี้ เรารวบรวมอดีตหัวหน้าพรรค อดีตเลขาธิการพรรค อดีต รมต. อดีต ส.ส. ซึ่งหลายคนผ่านประสบการณ์การเมืองมาหลายพรรค เช่น พลังธรรม พรรคการเมืองใหม่ พรรคพลังใหม่ มาร่วมคิดกัน เพื่อทำพรรคของประชาชนที่ไม่ใช่เงิน

     ...การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นเราขอตั้งไข่ก่อน ซึ่งแนวทางพรรคก็จะมีการสืบทอดเจตนารมณ์จากพรรคพลังธรรมในอดีต คือคุณธรรมนำการเมือง ซื่อสัตย์สุจริต แต่ครั้งนี้ต้องเข้มยิ่งกว่าเดิม ต้องมั่นใจได้ว่าหัวหน้าพรรค นักการเมืองของพรรคที่ซื่อสัตย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องมีระบบกำกับด้วย ไม่ใช่ดีแต่ปากพูด  เพราะสมัยนี้เงินทอนเป็นหมื่นล้าน เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว กระทรวงเกรดเอที่คนของพลังธรรมเข้าไปดูแล  เงินใต้โต๊ะที่ปลัดกระทรวงให้ปีละ 1,500 ล้านบาท ปัจจุบันนี้งบประมาณเพิ่มขึ้นสิบเท่าตัว เงินทอนขึ้นเป็นหมื่นล้านบาท

     ...เรื่องนี้หากเราพูดปากเปล่า ผมไปแถลงอาจไม่มีใครเชื่อ เราก็สร้างระบบที่คนในพรรคต้องซื่อสัตย์สุจริตร้อยเปอร์เซ็นต์เขียนไว้ในระเบียบการพรรค เช่นหากพรรคพลังธรรมเป็นรัฐบาล มีคนในพรรคได้ตำแหน่งทางการเมือง ก็จะใช้ระบบหนึ่งตำแหน่งให้เข้าไปทำงานสามคน ไปทำงานเป็นทีม หากเป็นทีมมันกินยาก เช่นรัฐมนตรีหนึ่งคน พรรคส่งคนไปสามคน แต่ตำแหน่งทางการเมืองก็คนเดียว แต่อีกสองคนไปนั่งทำงานด้วยกัน แล้วที่ผ่านมาช่องทางการทุจริตของรัฐมนตรีจะทำผ่านตำแหน่งพวกเลขานุการรัฐมนตรีดังนั้น ทุกตำแหน่งการเมืองพรรคจะเป็นคนแต่งตั้งหมด รัฐมนตรีจะมาบอกเอาคนของตัวเองมาเป็นเลขานุการทำไม่ได้ ตำแหน่งการเมืองทุกตำแหน่งต้องตั้งโดยมติกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด

     ...นอกจากนี้พรรคจะทำระบบปราบปรามการทุจริตภายใน โดยจะมีคณะกรรมการธรรมาภิบาลของพรรค ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของพรรค โดยให้กรรมการมีอิสระ แยกการทำงานออกไปจากพรรคเลย ยกตัวอย่างหากมีกรณีเช่น คนของพรรคมีนาฬิกาหนึ่งเรือนโผล่มา กรรมการต้องไปสอบ หากมีมูลกรรมการสามารถมีคำสั่งปลด ส่งไปให้กรรมการบริหารพรรคภายใน 24 ชั่วโมง แล้วกรรมการบริหารพรรคต้องสั่งปลดทันที

     นพ.ระวี กล่าวต่อไปว่า พรรคพลังธรรมใหม่จะไม่สนับสนุนนโยบายประชานิยม จะค่อยๆ ลดประชานิยมเพราะหากปล่อยไว้แบบนี้ประเทศเสียหาย ที่สำคัญพลังธรรมใหม่จะสร้างพรรคแบบใหม่ที่เราเรียกว่า UTNO (United Thailand National Organization) หรือการทำพรรคแบบแนวร่วมประชาชาติ ที่พัฒนามาจาก UMNO ที่ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเคยทำ

     ...แนวทาง UTNO คือพลังธรรมใหม่ จะเป็นแกนกลางรวบรวมคนดีทั่วประเทศ มีอุดมการณ์เดียวกันมาทำความดี มารวมอยู่ด้วยกัน เช่นคนที่ต้องซื่อสัตย์สุจริตร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะเป็นร่มธงให้คนดีเข้ามารวมกัน ภายใต้ระบบพรรคที่ดีและเข้มแข็ง เพราะหากระบบไม่เข้มแข็ง ทิศทางเรื่องความซื่อสัตย์อาจหายไปได้ ต้องทำให้ระบบเข้มแข็ง

     “พรรคพลังธรรมใหม่เราชัดเจนว่าจะยุติความขัดแย้งเหลือง-แดง สร้างประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว เพราะไม่เช่นนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาประเทศได้ ดังนั้นพรรคพลังธรรมใหม่จะเป็นแนวร่วมทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคทหาร พรรค กปปส. พรรคประชาธิปัตย์ แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทย และพรรคแนวร่วม เรายินดีจะเป็นแนวร่วม เราไม่ได้มองว่าใครจะเป็นศัตรูกับเรา เราต้องยุติความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศเป็นหนึ่งเดียว

     ...สิ่งนี้เป็นแนวคิดของพรรคพลังธรรมใหม่ที่สร้างแนวนโยบาย UTNO อย่างตอนนี้เราก็เริ่มพูดคุยกับหลายกลุ่มแล้ว บางพรรคที่ไปยื่นจัดตั้งกับ กกต. เขาก็อาจไม่ทำต่อ จะมาผนึกกับเราแล้ว หากเขาคิดว่าทำต่อไปแล้วอาจได้ 1-2 เสียงไม่เกิดประโยชน์ มาทำกับพลังธรรมใหม่ดีกว่า-ก็มี ตอนนี้กำลังคุยกันอยู่หลายกลุ่ม เราไม่ได้มองทุกพรรคเป็นศัตรู แต่มองทะลุไปถึงการเลือกตั้งอีก 2-3 สมัยข้างหน้า  โดยต้องมีระบบการกลั่นกรองให้คนเข้ามาร่วมงานเป็นคนดี เพราะเมื่อไม่เปิดช่องให้โกงก็โกงไม่ได้

     นพ.ระวี-อดีตแนวร่วม กปปส. ย้ำว่า ผมเคยเป็นแกนนำเสื้อเหลือง แต่ในวันนี้ผมเห็นแล้วว่าจะต้องแก้ปัญหา ผมออกจากภาคประชาชนมาอยู่ภาคการเมือง เพราะผมเห็นว่าทางเดียวที่จะแก้วิกฤติประเทศได้ต้องยุติความขัดแย้งเหลือง-แดง เราก็ต้องผนึกกำลังกัน อย่างแกนนำพรรคพลังธรรมใหม่เราบางจังหวัดก็เป็นเสื้อแดง บางจังหวัดแดงยกทีมเลย เราเอาทั้งเหลืองทั้งแดง เขาก็บอกว่าแบบนี้พรรคของประชาชนจริงๆ เขาไม่เคยเห็นระบบพรรคการเมืองเป็นแบบนี้ มีแบบนี้หลายจังหวัด

     ...ผมก็รู้จักกับคนเพื่อไทยหลายคน เพราะหลายคนก็เป็นอดีตพรรคพลังธรรมเก่า อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์กับผมก็สนิทกัน หรือพวกประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ไม่เคยคุยกัน ก็มารู้จักคุยกันตอนผมไปร่วมเคลื่อนไหวกับฝ่าย กปปส. ส่วนพรรคการเมืองที่ยื่นจัดตั้งพรรคใหม่ผมก็รู้จักเยอะ อนาคตพรรคใหม่ๆ เหล่านี้หากเขาไปได้ก็จะดี แต่หากไปไม่ได้ก็จะมารวมกับเรา เพราะเรายินดีจะเป็นแกนกลาง

     นพ.ระวี กล่าวอีกว่า พรรคพลังธรรมใหม่จะทำการเมืองเพื่อทำให้พรรคเป็นสถาบันอยู่อย่างยั่งยืน  โดยต้องกระจายอำนาจภายในพรรคสู่ชนบท โดยการทำการเมืองต่อจากนี้จะให้ความสำคัญส่วนกลางกับภูมิภาคเท่ากัน โดยพรรคแบ่งโครงสร้างออกเป็นภาคๆ โดยหากภาคไหนมีความพร้อม คนจัดตั้งพรรคในภาคต่างๆ พื้นที่ไหนมีความพร้อมก็ให้ขึ้นมามีบทบาทในพรรค เช่นเป็นกรรมการบริหารพรรค  แม้จะเป็นคนโนเนมแต่คนเหล่านี้คือช้างเผือก ทำให้อำนาจการบริหารงานในพรรคมาจากประชาชน และมีส่วนร่วมทางการเมืองในพรรค เช่นการคัดเลือกคนลงสมัครรับเลือกตั้ง

     ...พรรคพลังธรรมใหม่สร้างพรรคไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่น เช่นหากเป็นพรรคการเมืองอื่น หากจะส่งคนลงสมัครเลือกตั้งที่อุบลราชธานี แกนนำก็อาจไปที่อุบลราชธานี ไปพบนักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น ไปพูดคุยสอบถามว่าที่อุบลราชธานีมีใครมีชื่อเสียง หากจะส่งคนลง 8 เขต ก็หามา 8 คน แล้วก็พูดคุยเจรจา ต้องใช้เงินกี่ล้านบาทก็ว่ามา จากนั้นผู้สมัคร ส.ส.ก็ไปสร้างระบบหัวคะแนน เอาคนมาเป็นสมาชิกพรรค ทุกพรรคเป็นแบบนี้ แต่พรรคพลังธรรมใหม่จะสวนแนวทางเช่นนี้ เพราะพรรคจะไปสร้างกรรมการพรรคประจำจังหวัด โดยเมื่อมีการเลือกกรรมการประจำจังหวัดอย่างถูกต้อง พรรคก็จะมอบอำนาจทุกอย่างให้กรรมการประจำจังหวัด เช่นอำนาจในการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. โดยส่วนกลางไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว ส่วนกลางแค่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย พูดง่ายๆ พรรคทำตามกฎหมายพรรคการเมืองเรื่องไพรมารีโหวต เพียงแต่ของพรรคอื่นทำไพรมารีโหวตโดยมีตัวผู้สมัครส่งชื่อไปแล้วทำไพรมารีว่าสมาชิกจะเลือกใคร แต่ของพรรคพลังธรรมใหม่เราเริ่มจากให้ปัญญาชน สมาชิกพรรคคัดเลือกเอาชื่อมาแล้วก็มาทำไพรมารีโหวต อันเป็นรูปแบบที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น

-การเลือกตั้งแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมาก อย่างที่บอกตอนแรกว่าคาดจะมีเงินสะพัดร่วมแสนล้านบาทในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น แล้วพรรคพลังธรรมจะสู้ได้อย่างไร?

     เวลาผมไปชี้แจงกับคนที่สนใจจะเข้าร่วมกับพรรคพลังธรรมว่าพรรคไม่มีเงินให้ อย่างตอนนี้หลังเปิดตัวพรรคมาก็มีสมาชิกพรรคแล้วประมาณสองพันกว่าคน ปรากฏว่าเวลาทำอะไร ทุกคนต้องออกเงินเองหมด พรรคไม่มีเงิน อย่างมากนัดประชุมคุยกันตามร้านกาแฟ ก็มีการเลี้ยงกาแฟให้ 40-50 บาท บางครั้งพรรคออกให้ แต่พอเจอกันครั้งต่อไปสมาชิกต้องออกเงินกันเอง พรรคไม่มีเงิน หรือผู้สมัคร ส.ส.ที่พรรคเริ่มคัดคนลงแล้ว พรรคก็บอกแต่แรกเลยว่าผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนต้องพึ่งตนเอง บอกไว้ก่อนพรรคไม่มีเงินให้ แต่พรรคจะมีเงินให้ช่วงเข้าโหมดการเลือกตั้ง พรรคจะมีการระดมเงิน พอระดมเงินมาได้เท่าไหร่ พรรคจะนำ 350 ที่เป็นตัวเลขจำนวนเขตเลือกตั้งมาหาร เพราะพรรคจะส่งคนลงครบทุกเขต

     ...เช่นหากพรรคระดมทุน หามาได้ 35 ล้านบาท พรรคก็นำ 350 หาร 35 ล้านบาท ก็จะเหลือเขตละแสน ทุกเขตจะได้เท่ากันหมด อย่างไรก็ตามพรรคจะไม่ได้โอนเงินให้ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อนำไปใช้หาเสียงแบบพรรคอื่น แต่โอนให้กรรมการประจำเขตเลือกตั้งของพรรคพลังธรรมใหม่ที่จะมีกรรมการครบ 350 เขต แต่หากพรรคหาเงินมาได้ 100 ล้านบาท ก็เท่ากับเขตละ 3 แสน พรรคก็โอนให้กรรมการประจำเขตไปสามแสนเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง

ทั้งหมดคือแนวทางการทำพรรคพลังธรรมใหม่ ที่ต้องดูกันว่าท้ายที่สุด แนวทาง-นโยบายพรรคที่ นพ.ระวีบอกไว้ข้างต้น จะได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนแค่ไหน ซึ่งต้องรอดูในช่วงเลือกตั้งที่จะมีขึ้นต่อไป.

 

     ปรากฏการณ์การดูดนักการเมืองให้ย้ายพรรคเวลานี้ ชัดเจนว่าเป็นปรากฏการณ์น้ำเน่าทางการเมือง...คนที่ไปดูดมา มีคำถามจากคนในสังคมว่าคุณจะปราบโกงหรือจะแบ่งเค้กกันแน่...ถ้าพรรคทหารได้ ส.ส.เกิน 50 เสียงขึ้นไป บิ๊กตู่ก็กลับมาเป็นนายกฯ แล้ว แต่ต้องบี้เพื่อไทยให้ได้ ส.ส.ต่ำกว่า 200  เสียง สิ่งที่พรรคทหารทำตอนนี้ก็คือการพยายามดูด


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"