คนละครึ่งเฟส2 เคาะแน่1มค.64 ฟุ้ง‘ศก.’ดีดยาว


เพิ่มเพื่อน    

 

จ่อชง ศบศ.เคาะ 1 ม.ค.2564 ลุยโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 "สุพัฒนพงษ์" ฟุ้งไตรมาส 4/2563 เศรษฐกิจไทยไม่มีแผ่ว หลังรัฐบาลเติมกระสุนอัดมาตรการกระตุ้นไม่หยุด เชื่อไม่เกินปี 2565 กลับมาเดินได้ปกติ ด้านคลังถือไม้เรียวตรวจแถวร้านค้า-ประชาชนคนละครึ่ง พร้อมสอบกรณีแม่ค้าชาร์จราคาเพิ่ม อ้างจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตมือถือ
    นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากโควิด-19 (ศบศ.) ในวันที่ 2 ธ.ค.2563 จะมีการพิจารณาขยายโครงการคนละครึ่งระยะที่ 2 ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดคงต้องรอความชัดเจนหลังการประชุม
    ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาส 4/2563 ไม่คิดว่าจะแผ่วลง เพราะรัฐบาลยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศออกมาอย่างต่อเนื่องอยู่ ซึ่งมาตรการที่ออกมาทั้งหมดใช้ในไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศ
    ทั้งนี้ มองว่าภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้ อยู่ในเกณฑ์ติดลบ 6% หรือโชคดีต่ำกว่าติดลบ 6% ก็ถือว่าเราไม่บอบช้ำมาก ส่วนปีหน้าเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว (รีบาวด์) กลับมาได้ แต่ถ้ารีบาวด์ได้เร็วกว่าคาดการณ์ ดีไม่ดีหนึ่งปีก็สามารถกลับมายืนอยู่ในสภาพเดิมได้ เศรษฐกิจไทยอาจจะลุกขึ้นยืนได้เต็มตัว และในปี 2565 ก็กลับมาเดินได้ แต่ถ้าปีหน้ายังไม่ดีอีกก็อาจจะขยายเพิ่ม 6 เดือน
    “ผมไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเยอะ ไม่ต้องทำให้ยากและสับสน แต่ต้องทำให้ถดถอยน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ หรือประคับประคอง ถ้าถดถอยน้อย ปีหน้าก็จะดีขึ้น และฟื้นได้เร็ว ซึ่งปีหน้าต้องหาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ดิจิทัล เมดิคัลฮับ มาเสริม ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอันใหม่กำลังคิดอยู่” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
    รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลระบุว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมเสนอต่ออายุมาตรการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ให้ที่ประชุม ศบศ.พิจารณา เบื้องต้นจะเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างสรุปจำนวนผู้ลงทะเบียนเพิ่ม แต่คาดว่าจะไม่สูงเท่ารอบแรกที่กำหนดเป้าหมาย 10 ล้านคน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนในช่วงปลายเดือน ธ.ค.2563 ที่เว็บไซต์ w ww.คนละครึ่ง.com เหมือนเดิม รวมทั้งพิจารณาระยะเวลามาตรการในระยะที่ 2 ด้วยว่าจะต่อไปอีกกี่เดือน โดยโครงการรอบใหม่จะให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2564 เป็นต้นไป
     ส่วนผู้ที่ได้รับสิทธิ์คนละครึ่งในรอบแรก 10 ล้านคน ก็จะสามารถใช้สิทธิ์ต่อเนื่องได้ทันที แต่ ศบศ.อาจจะต้องพิจารณาให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์เดิมไปกดปุ่ม ‘ยืนยันการใช้สิทธิ์’ ในระยะที่ 2 ซึ่งกระบวนการไม่ยุ่งยาก รวมถึงกรณีผู้ได้สิทธิ์เดิมที่ยังใช้เงินไม่หมด ศบศ.จะต้องพิจารณาว่าจะตัดวงเงินนั้นคืน เพราะต้องการกระตุ้นให้ใช้จ่ายให้ทันวันที่ 31 ธ.ค.2563 หรือเพิ่มวงเงินใหม่ให้เลย
    นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้ขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้ร้านค้าอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าหรือดำเนินการด้วยวิธีการอื่นๆ ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เนื่องจากเป็นการเอาเปรียบประชาชนและทำลายบรรยากาศของการจับจ่ายใช้สอย
    อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการที่ผิดเงื่อนไขของโครงการซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน ตลอดจนช่วยให้ร้านค้ามีรายได้เพิ่มมากขึ้น
    โดยหากประชาชนพบพฤติกรรมการขึ้นราคาสินค้า หรือมีการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ อาทิ การรวมค่าบริการอินเทอร์เน็ตมือถือของร้านค้าอยู่ในราคาสินค้า สามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการ สามารถส่งข้อมูลมาที่ [email protected] หรือติดต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3697, 3527, 3548, 3509 (เวลาราชการ) หรือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0-2111-1144 (24 ชั่วโมง)
    "กระทรวงการคลังได้มีการประสานขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามและตรวจสอบประเด็นดังกล่าวด้วยแล้ว หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำที่ผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้แอปพลิเคชัน ตลอดจนการจ่ายเงินของร้านค้าทันที และอาจจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอความร่วมมือร้านค้าให้ซื่อสัตย์ต่อประชาชน และขอให้ประชาชนรักษาสิทธิของตัวเองด้วย โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการอย่างเคร่งครัด" นายพรชัยกล่าว
    สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 30 พ.ย.2563 เวลา 12.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 8.7 แสนร้านค้า และผู้ใช้สิทธิ์แล้วจำนวน 9,515,956 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 31,777 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 16,226 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 15,551 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 184 บาทต่อครั้ง โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และชลบุรี ตามลำดับ.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"