มองจากคนภายนอกเข้ามาถือเป็น ‘บิ๊กเซอร์ไพรส์’ กรณี หญิงหน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พร้อมคณะแกนนำพรรคคนสนิท ‘โภคิน พลกุล’ ‘วัฒนา เมืองสุข’ ‘พงศกร อรรณณพร’ ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่หากเป็นมุมมองจากคนภายในเพื่อไทย เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

            พลันใบลาออกถูกยื่นไปยังนายทะเบียนพรรคเพื่อไทย ไม่แม้แต่จะมีการยับยั้งขอให้ทบทวนการตัดสินใจจากระดับบิ๊กๆ ผู้ใหญ่ในพรรค ใบลาออกกลับถูกประทับตราทันที ส่งผลให้สมาชิกภาพความเป็นสมาชิกพรรคสิ้นสุดลงทันที

            สุดารัตน์กับคณะแกนนำพรรคคนสนิทลาออกจากพรรค คำถามที่ดังกึกก้องตามมาหนีไม่พ้น 1.ลาออกทำไม เพราะอะไร 2.แล้วจะไปทำอะไรต่อ

            เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจในพรรคเพื่อไทยไม่เคยจางหาย ยังคงมีการพูดถึง บอกเล่าให้ได้ยินกันเป็นระยะๆ พรรคที่เคยยืนหนึ่ง เป็นทั้งพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคที่แม้จะเป็นฝ่ายค้านแต่ก็ยังมี ส.ส.ในพรรคกว่าร้อยคน หลายคนก็หลายความเห็น หลายคนก็หลายกลุ่ม ถูกแบ่งเป็นก๊ก เป็นพวก 

            นับแต่ สุดารัตน์ ก้าวเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรคเพื่อไทย มีอำนาจบริหารจัดการพรรคในฐานะประธานยุทธศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มไม่เหมือนเดิม หลายกลุ่มก่อตัว ปัญหาความเห็น ทิศทางการทำงาน มองไม่ตรงกัน ค่อยๆ ลุกลามบานปลายเป็นปัญหามาช้านาน 

            ในพรรคมีเพียง 2 กลุ่มคือ กลุ่มสนับสนุนหญิงหน่อย กับกลุ่มไม่สนับสนุนหญิงหน่อย ทั้งสองกลุ่มอำนาจต่างถืออำนาจสายตรงคนทางไกลเหมือนกัน แต่ในขั้วอำนาจทางไกลยังจำแนกออกไปอีก เป็นขั้วของพี่-ทักษิณ ชินวัตร หรือขั้วของน้อง ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ยังไม่นับรวมอีกหนึ่งขั้วอำนาจ ผู้ถืออำนาจเด็ดขาด หญิงอ้อ-คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 

            เป็นขั้วอำนาจซ้อนขั้วอำนาจ หากกลุ่มใดยึดขั้วอำนาจ 2 ใน 3 ได้ ย่อมได้เปรียบกลุ่มคนที่ยึดได้เพียงขั้วอำนาจเดียว และในทางตรงกันข้าม หาก 2 ใน 3 ขั้วอำนาจ ‘ไม่เอา’ ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ตกที่นั่งลำบากทันที

            กลุ่มไหนเป็นใคร ใครชอบใคร ไม่ชอบใคร คงไม่ต้องจาระไน แต่ละขั้วอำนาจ กลุ่มก๊วนที่เป็นแกนนำพรรค แต่ละกลุ่มใช่ว่าสมานฉันท์เห็นพ้องตรงกันทั้งหมด เพียงแต่ดันมี ‘ศัตรูคนเดียวกัน’ ทำให้ต้อง ‘จับมือเฉพาะกิจ’ ขับไล่ออกไปให้ได้  

            การปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ คณะกรรมการบริหารพรรคถูกปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ในยุคสุดารัตน์พยายามรีแบรนด์ ลบภาพพรรคครอบครัว เปิดโอกาสให้ตัวแทนภาคเข้ามาทำงาน ทำให้กลุ่มคนที่เคยมีอำนาจจัดการบริหารพรรคถูกกันไปอยู่วงนอก

            แต่ไปๆ มาๆ ดุลอำนาจเปลี่ยน เกิดการเปลี่ยนแปลงในเพื่อไทยอีกรอบ ทำให้เป็นการรวมศูนย์ผูกขาดอำนาจไว้เพียงคนใกล้ชิดสายตรงเท่านั้น โดยเฉพาะคณะกรรมการชุดที่มีอำนาจสูงสุด หรือโปลิตบูโร ไม่มีคุณหญิงสุดารัตน์หรือทีมงานเข้าไปเกี่ยวข้อง 

            การขับเคลื่อนทิศทางของพรรคเดินตามเกมพรรคก้าวหน้า คณะก้าวไกล ที่มักไปสอดรับกับเกมของผู้ชุมนุมนอกสภา ข้อเรียกร้องทะลุเพดาน ไม่ได้มีแค่เรื่องการเมือง หลายต่อหลายเรื่องนำพาไปสู่จุด ‘ล่อแหลม’ ยิ่งน่าหวั่นใจ หากฝ่ายตรงข้ามสบช่องจะย้อนมาเล่นงานได้ทั้งพรรค ทั้งคน อีกรอบหรือไม่ 

            แม้แต่การอาสาลงไปช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หาเสียง ที่ผู้สมัครบางคน พรรคไม่ได้มีมติสนับสนุน แต่กลับไปช่วยหาเสียง ไม่เท่านั้น แกนนำพรรคบางคนยังคาดโทษไปถึงผู้สมัครนายก อบจ.และ ส.ส.ในพื้นที่ หากเชิญให้คุณหญิงสุดารัตน์ไปช่วยหาเสียง จะถูกตัดการสนับสนุนจากทางพรรค และจะไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อและตราสัญลักษณ์พรรคเพื่อไทยหาเสียงอีก 

            สุดารัตน์กับเพื่อไทย ที่ทำงานร่วมกันมายาวนานตั้งแต่ยุคก่อตั้งพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ปิดฉากลง ‘แบบเจ็บปวด’ 

                เส้นทางการเมือง สุดารัตน์และคณะคนใกล้ชิดหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ยังเป็นเรื่องที่น่าติดตาม โดยเฉพาะในกลุ่มของสมาชิกพรรค แต่ไม่ได้มีตำแหน่ง ส.ส. แต่เป็นก๊วนที่เหนียวแน่น อาทิ เสี่ยปุ่น-น.ต.ศิธา ทิวารี, เสี่ยอ๊อบ-สุรชาติ เทียนทอง, ปุ๊น-ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส, หมวดเจี๊ยบ-ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง

            กลุ่ม ส.ส. นำโดย หมวดป๊อป-น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ, เก่ง-การุณ โหสกุล, จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. ฯลฯ จะตัดสินใจก้าวย่างทางการเมืองอย่างไรต่อไป

            ในวันที่ฝุ่นตลบ คลื่นลมยังไม่สงบ ยังมีเวลาให้หญิงหน่อยและชาวคณะได้หยุดคิด ทบทวน จะหยุดพักหรือตั้งพรรคการเมืองเองหรือไม่ เชื่อว่าหญิงหน่อยคงมีคำตอบในใจ..อยู่แล้ว.