30 พ.ย. 2563 หอการค้าไทย-จีน เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยปี 2564 กว่า 41.% คาดว่าเศรษฐกิจไทยโต 2.5-3.5 % โดยเศรษฐกิจจีนจะกลับมาฟื้นตัวสูงและมีส่วนขับเคลื่อนศก.ไทยโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนพร้อมกลับมามากขึ้น ขณะที่สถานการณ์การค้าโลกผ่อนคลาย หลังสหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่สอดรับIMF ที่ประเมินศก.จีนและไทยโต 8.2% และ 4% ตามลำดับ ปูพรมเปิดความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) สร้างเครือข่าย อำนวยความสะดวก สร้างเส้นทางการค้า-ลงทุนในอนาคต
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าได้จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 1/2564 ซึ่งสำรวจจากความเห็นของคณะกรรมการหอการค้าไทย -จีน เครือข่ายสมาพันธ์หอการค้าไทย-จีน สมาคมธุรกิจต่างๆของจีน กว่า 60 สมาคมฯ รวมทั้งนักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลาง และ ขนาดใหญ่ และชาวจีนโพ้นทะเล ผ่านการประมวลผลข้อมูล Google Survey From โดยแบบสอบถามประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจไทย-จีน 2) ตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจไทย 3) ตัวชี้วัดปัจจัยเกื้อหนุน และ/4) ประเด็นเฉพาะกิจ หรือเหตุการณ์ โดยพบว่า 61.5 % ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มั่นใจว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตสูงขึ้น สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีนเนื่องจากจีนสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ 50 % ของผู้ถูกสำรวจต่างคาดการณ์ จะมีนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น และแนวโน้มนักท่องเที่ยวจากจีนน่าจะเริ่มกลับมายังประเทศไทยอีกครั้ง และกล่าวได้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนนั้นน่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นได้ ในไตรมาสที่หนึ่งปี 2564 ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ที่คาดการณ์ว่าปี 2564 เศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวราว5.2%ส่วนเศรษฐกิจจีน จะขยายตัว 8.2%และเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวที่ 4.0%
สำหรับมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจไทยพบว่าผลสำรวจ 44.1 % คาดการณ์ว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะโตน้อยกว่า 2.5 % และ 41.3 % คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ระหว่าง 2.5-3.5 % เนื่องจากผลสำรวจ สัดส่วน 43.3 % มองว่าเศรษฐกิจการค้าการลงทุนของไทยโดยรวมในไตรมาสแรกของปี 2564 โดยเฉพาะในภาคธุรกิจพาณิชย์ อิเล็กทอนิกส์ สินค้าเกษตร บริการโลจิสติกส์ บริการสุขภาพ และ สินค้าเกษตรแปรรูป จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ขณะที่อุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย ได้แก่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง และ อุตสาหกรรมการผลิต เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องมีมาตรการการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการขับเคลื่อนของธุรกิจดังกล่าว
ทั้งนี้ในความเคลื่อนไหวทางด้านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 46.7 % คาดการณ์ว่าไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ในส่วนอัตราแลกเปลี่ยน กลุ่มสำรวจ 70 % มองว่าผู้ค้ากับต่างประเทศต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงของค่าเงินบาท ที่อาจจะมีทิศทางแข็งค่ามากขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยอาจจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ในการฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น แม้ว่าจะมีการค้นพบวัคซีนก็ตาม
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา ที่ได้นายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ เชื่อว่าจะทำให้มีความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐและจีนผ่อนคลายลง ซึ่งกลุ่มสำรวจใน 70 % เห็นว่าความชัดเจนดังกล่าวจะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของระหว่างสองประเทศทำให้การค้าโลกผ่อนคลายมากขึ้น ที่จะมีส่วนทำให้ไทยได้รับผลดีตามไปด้วยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดของนักลงทุน โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองไทย และมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาลในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน ในรอบ 10 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค.-ต.ค. 2563) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 64,763 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ คิดเป็น 17.89 % ของมูลค่าการค้ารวมของไทย โดยมีการส่งออกไปยังประเทศจีน มูลค่า 24,542 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 2.7 % คิดเป็น 12.76% ของการส่งออกของไทย นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับสมาชิกหอการค้าไทย-จีน ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างหอการค้าไทยจีน กับธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และ โอกาสทางธุรกิจ รวมถึงการเข้าถึงการบริการของธนาคารแห่งประเทศจีนทั่วโลก
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |