ถ้าใครตะโกน Hi, Joe! วันนี้ที่อเมริกา ทุกคนจะรู้ว่าหมายถึงใคร
แม้ว่าคนอเมริกันที่ใช้ชื่อนี้จะมีอยู่หลายสิบล้านคนก็ตาม
อีก 51 วันจากวันนี้ โจ ไบเดน ก็จะเดินเข้าทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 อย่างเต็มภาคภูมิ
ในวัย 78 ผู้ชายคนนี้ได้ทำความฝันอันยาวนานเป็นความจริงอย่างสมบูรณ์แล้ว
เขาเป็นลูกของเซลส์แมนที่ล้มเหลว จนต้องย้ายครอบครัวข้ามรัฐเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
โจ ไบเดนมาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการ
เผชิญกับโศกนาฏกรรมทั้งส่วนตัวและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
เรียนหนังสือโรงเรียนมัธยมคาทอลิก
เรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ ไม่ใช่นักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาระดับท็อปเทนของสหรัฐฯ
แต่ไต่เต้าขึ้นมาเป็นสมาชิกวุฒิสภาถึง 6 สมัย
เป็นรองประธานาธิบดี 2 สมัย
พอคิดจะสมัครเป็นประธานาธิบดีก็เจอคำถามสำคัญว่าอายุป่านนี้แล้วจะอยู่รอด 4 ปีในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศหรือไม่
แต่โจไม่เคยท้อ ไม่เคยหวั่น และไม่เคยยอมให้ใครสบประมาท
เพราะเขาเจอกับความท้าทายเช่นนี้ตั้งแต่เยาว์วัยจากการพูดติดอ่าง
เพื่อนฝูงล้อเลียนและเหยียดหยามเขาเพราะพูดติดๆ ขัดๆ
โจฝึกฝนตัวเองอย่างมุ่งมั่น ฝึกคลายกล้ามเนื้อที่ปากและพูดกับตัวเองหน้ากระจกทุกวัน
จนกลายเป็นนักปราศรัยที่คล่องแคล่ว สามารถหาเสียงกับประชาชนทุกชนชั้น จนกลายเป็นนักการเมืองที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของรัฐเดลาแวร์ของเขา
ความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติในชีวิตของเขา
วันที่เขาประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งที่มีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นคู่แข่งนั้น โจบอกกับคนอเมริกันที่ไม่ได้เลือกเขาว่า
"สำหรับท่านผู้ที่ไม่ได้เลือกผม ผมเข้าใจความผิดหวังของท่าน เพราะผมเองก็เคยผิดหวังในชีวิตมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จงเชื่อเถิดครับว่าผมจะเป็นประธานาธิบดีสำหรับคนอเมริกันทุกคน ไม่ว่าท่านจะเลือกผมหรือไม่ก็ตาม..."
ตอนที่เขาชนะเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรก โจเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาคองเกรสที่อายุน้อยที่สุดในวัย 27
วันนี้เขาเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ
บุคลิกและแนวคิดปรัชญาชีวิตของโจยืนอยู่คนละข้างกับทรัมป์โดยสิ้นเชิง
เขาโตมาด้วยการแสดงถึงความเอื้ออาทรและพยายามเข้าใจมนุษย์คนอื่น
ทรัมป์กระโดดเข้าการเมืองด้วยการทำตัวเป็นผู้ต้องการจะเอาชนะคนอื่นด้วยทุกวิถีทาง ไม่สนใจว่าวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นน่ารังเกียจเพียงใดก็ตาม
โจใช้กลยุทธ์สู้กับทรัมป์ด้วยการไม่ทำศึกภายใต้เงื่อนไขที่ทรัมป์สร้าง
เขาเขียนกติกาแห่งสงครามกับทรัมป์ด้วยการกลับไปสู่ค่านิยมพื้นฐานแห่งการเมืองยุคเก่า
นั่นคือการฝ่าข้ามการแบ่งแยกความคิดทางการเมืองระหว่างเดโมแครตกับรีพับลิกัน
ขณะที่ทรัมป์เน้นประเด็น America First โจประกาศนโยบาย America is Back!
ทรัมป์กระชากอเมริกาออกจากเวทีโลกเพื่อ "ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง" (Make America Great Again) แต่โจต้องการจะบอกว่าสหรัฐฯ จะยิ่งใหญ่ได้ต้องจับมือกับพันธมิตร
ทรัมป์ต้องการจะให้อเมริกาเป็นพระเอกคนเดียว
โจต้องการเห็นอเมริกาเป็นพระเอกที่มีพระรองเคียงคู่ไปด้วย
คะแนนที่โจได้ครั้งนี้กว่า 80 ล้านเสียงเป็นการสร้างสถิติสูงสุดของผู้ชนะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกัน
ทรัมป์ได้กว่า 73 ล้านเสียง ก็เป็นการทำลายสถิติของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ลงสมัครครั้งที่ 2 เช่นกัน
นั่นแปลว่าคนอเมริกันออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้นำของเขาอย่างล้นหลาม
เหตุเพราะความตื่นกลัวจากทั้งสองฝ่าย
ต่างคนต่างกลัวว่าคนที่ตนต้องการให้ชนะการเลือกตั้งจะพลาดท่าเสียที
เพราะการระบาดของโควิด-19 ยิ่งทำให้ผู้คนที่นั่นใช้สิทธิ์ผ่านไปรษณีย์กันอย่างล้นหลาม
ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
นั่นคือความตื่นตัวของคนอเมริกันทุกชนชั้นและสีผิวที่ต้องการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สำหรับสังคมที่ตกอยู่ในภาวะของความแตกแยกอย่างรุนแรงในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นกัน
ชัยชนะของโจ ไบเดน คือการเขย่าการเมืองสหรัฐฯ ให้กลับไปสู่ "ภาวะปกติ" หลังจากทรัมป์ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายสับสนในค่านิยมของสังคมอเมริกันอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
เรากำลังได้เห็นการเมืองอเมริกันที่จะเปลี่ยนสมการดุลอำนาจของโลกอีกครั้ง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |