ผลสอบแก๊งอดีตปลัดพม. ชี้โทษวินัยร้ายแรง11ราย


เพิ่มเพื่อน    

 “ประยุทธ์” ขึงขังปราบโกงอีกระลอก รับเรื่องทุจริตมีทุกรัฐบาล แต่อยู่ที่จะลดลงได้หรือไม่ “อนันตพร”   นั่งหัวโต๊ะประชุม อ.ก.พ.กระทรวงแล้ว ลั่นไล่ออก ผอ.ศูนย์ขอนแก่นและหัวหน้าฝ่ายแน่ในสัปดาห์หน้า ปูดผลงานอดีตปลัด-รองปลัด พม.ถึงมือแล้ว เผยมี 11 รายพัวพันถึงขั้นระดับสั่งการ ผิดวินัยร้ายแรง

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า   และได้แถลงผลการประชุมตอนหนึ่งว่า ได้เน้นย้ำเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยการทุจริตต้องไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด หากพบการทุจริตต้องแจ้งมาในทันที และถ้าพบว่าเกิดขึ้นนานแล้ว ก็ต้องให้ระดับกระทรวงหรือระดับหน่วยงานลงไปตรวจสอบในแผนงานและโครงการต่างๆ นั้น เช่น โครงการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่ได้เปลี่ยนวิธีการจ่ายงบประมาณออกไปใหม่ โดยเน้นให้ถึงมือประชาชนโดยตรง 
“การจะบอกว่ารัฐบาลนี้มีทุจริตอยู่ คงไม่ได้ เพราะการทุจริตมีเกิดขึ้นในทุกรัฐบาล มันอยู่ที่ว่าจะลดลงได้เพียงใด ที่สำคัญประชาชนทุกคนต้องไม่ให้คนทุจริตมาเรียกรับผลประโยชน์ และต้องไม่ไปเสนอผลประโยชน์ให้กับเขา ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบ แต่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน และการเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องไม่มีทุจริต รัฐบาลต่อๆ ไปก็ต้องช่วยกันลดปัญหาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด เพราะถือเป็นอนาคตของประเทศ ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องบรรจุเรื่องการต่อต้านการทุจริตลงในหลักสูตรการศึกษา พร้อมกับต้องมีในข้อสอบด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ ย้ำอีกว่า ที่ผ่านมาเราพูดกันว่าต้องมีธรรมาธิบาล ต้องไม่ทุจริต แต่อะไรคือเรื่องเหล่านี้ เพราะการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นก็ถือว่าเป็นการทุจริต จึงต้องสร้างเรื่องเหล่านี้ให้ประชาชนรุ่นใหม่รู้สึกรังเกียจการทุจริต ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะการจัดทำนโยบายในอนาคตนั้น ต้องคำนึงถึงแหล่งที่มาของรายได้ ถึงแม้การบริหารราชการแผ่นดินจะยาก แต่ถ้าเราซื่อสัตย์ ก็จะสามารถทำได้ เพราะการที่จะตอบโต้หรือต่อต้านก็ไม่ช่วยให้ทำอะไรได้เหมือนเดิม
ขณะที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศครั้งที่ 1/2561 ว่า ข้อเสนอการปฏิรูปมีไม่ต่ำกว่า 2,000 เรื่อง มีประเด็นการปฏิรูปใหญ่ 200 เรื่อง และประเด็นรองลงมากว่า 400 เรื่อง โดยที่ประชุมกำหนดหัวข้อหลักสำคัญในการปฏิรูป 5 เรื่องที่ต้องทำเร่งด่วน คือ 1.เรื่องการปฏิรูประบบราชการและการอำนวยความสะดวก 2.การปฏิรูปปากท้องของประชาชน 3.การปฏิรูปเพื่อปราบการทุจริตคอร์รัปชัน 4.ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสริมสร้างกระบวนการประชาธิปไตย ในเรื่องการปฏิรูปการเมืองก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และ 5.การปฏิรูปแก้ไขปัญหาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ 
“อะไรที่จำเป็นที่ต้องขอให้นายกฯ ออกมาตรา 44 เพื่อประชาชนได้ประโยชน์และเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ก็จะนำเสนอ โดยจะต้องไปดูเรื่องเร่งด่วน 5 เรื่องว่าอะไรเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใช้มาตรา 44” นายกอบศักดิ์ระบุ            
วันเดียวกัน ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พม. กล่าวภายหลังประชุมคณะอนุกรรมการสามัญ (อ.ก.พ.) ประจำกระทรวง ว่าที่ประชุมได้พิจารณาผลสอบวินัยร้ายแรงผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น และหัวหน้าฝ่ายจัดสวัสดิการสังคม ศูนย์ขอนแก่น ตามที่คณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงได้พิจารณาโทษไล่ออกข้าราชการทั้ง 2 ราย ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบถึงบทลงโทษดังกล่าว และซักถามประเด็นต่างๆ โดยใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง จนมีมติเห็นว่าผลการพิจารณามีมูลที่จะลงโทษทั้ง 2 คนได้ แต่เพื่อความรอบคอบ จะพิจารณาสำนวนก่อนมีคำสั่งลงโทษอย่างเป็นทางการภายในสัปดาห์หน้า คือไล่ออกจากราชการทั้ง 2 ราย
    พล.อ.อนันตพรยังกล่าวถึงการสอบวินัยร้ายแรงที่ศูนย์เชียงใหม่และที่อื่นๆ ว่าอยู่ระหว่างทยอยทำ เนื่องจากคณะกรรมการตั้งทีละชุด ซึ่งในที่ประชุมก็ได้ซักถามถึงการดำเนินการ ว่าทำไมต้องใช้ขั้นตอนมาก ซึ่งกรรมการได้ชี้แจงว่าเนื่องจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เก็บหลักฐานทั้งหมดไว้ มีเพียงหลักฐานที่เป็นเอกสาร จึงต้องลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านที่รับเงินสงเคราะห์ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้เวลา อย่างกรณีศูนย์ขอนแก่น มีคนรับเงินสงเคราะห์กว่า 2,000 คน ซึ่งการลงพื้นที่เก็บข้อมูลต้องใช้เวลานาน ขณะที่กรรมการของกระทรวงและกรมมีไม่มาก จึงต้องใช้เวลาพอสมควร แต่หลังจากนี้จะขอสำเนาเอกสารข้อมูลจาก ป.ป.ท.เพื่อจะประสานการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
    ถามถึงการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัด พม. และนายณรงค์ คงคำ อดีตรองปลัด พม. พล.อ.อนันตพรกล่าวว่า นายสุภัทร จำปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงได้รายงานความก้าวหน้าการสอบสวนด้วยวาจามาแล้วเมื่อเย็นวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งผลสอบมีมูลที่จะแจ้งข้อกล่าวหาผู้กระทำผิดร้ายแรงทั้งหมด 11 ราย ที่เหลือ 15 รายกันไว้เป็นพยาน ซึ่งภายใน 1-2 วันนี้ คณะกรรมการฯ คงรายงานมาเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งทยอยแจ้งข้อกล่าวหาถึงผู้ถูกกล่าวหาทุกคน คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะทราบว่าใครเป็นใคร 
    “11 ราย เท่าที่สื่อทราบก็มีอดีตปลัดและรองปลัด พม.ตามที่ปรากฏข่าว ซึ่งหลังจากนี้ตามระเบียบ ก.พ.กำหนดเวลา 15 วันให้ผู้ถูกกล่าวหาได้นำหลักฐานมาหักล้างความผิด จากนั้นคณะกรรมการพิจารณาฯ จะพิจารณาข้อแก้ต่างว่าฟังขึ้นหรือไม่ขึ้น หากฟังขึ้นก็ทบทวน ฟังไม่ขึ้นก็ลงโทษ คาดว่าสิ้นเดือน พ.ค.นี้จะทราบผลการลงโทษทางวินัยร้ายแรง ซึ่งใน 11 รายนั้นคณะกรรมการสอบฯ ก็มั่นใจว่าเป็นผู้ดำเนินการหลัก ซึ่งส่วนอีก 15 รายกันไว้เป็นพยาน แต่ต้องถูกลงโทษตามเหตุการณ์ โดยอาจเบาหน่อย เพราะถือว่าช่วยเหลือราชการ” พล.อ.อนันตพรระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"