“บิ๊กตู่” ประธานลงนามสัญญาจองวัคซีนโควิด เผยพระมหากรุณาธิคุณในหลวง พระราชทานให้บริษัทในพระปรมาภิไธยผลิตต่อแจกจ่าย ศบค.พบติดเชื้อเพิ่ม 19 ราย กลับจากต่างประเทศอยู่ในสถานกักกัน สธ.เปิดแพลตฟอร์มจองแพ็กเกจโรงแรมกักตัวประเทศแรกของโลก
ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน เวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 โดยการจองล่วงหน้ากับบริษัท AstraZeneca จำกัด และสถาบันวัคซีนแห่งชาติของไทย โดยมี พ.ต.อ.ธรรมนิธิ วนิชย์ถนอม รองราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง, พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง, ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมการแพทย์, อธิบดีกรมควบคุมโรค, อธิบดีกรมยุโรป และอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ร่วมพิธี
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาถือเป็นวิกฤตการณ์ที่สร้างความเสียหายทางด้านสังคมและเศรษฐกิจแก่ประเทศต่างๆ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในการแพร่ระบาด จึงได้มีมาตรการในการป้องกันตนเอง การดูแลสุขภาพ พร้อมทั้งสนับสนุนให้กระทรวงสาธารณสุขและทุกภาคส่วนช่วยกันผลักดันให้โครงการจะทำวัคซีนในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสำคัญในการลงนามร่วมกันระหว่างประเทศผู้ค้นคว้าวิจัยและผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งเราได้ทำสัญญาเรื่องการจองซื้ออยู่หลายประเภทด้วยกัน โดยกลุ่มนี้มีความก้าวหน้าในระดับที่สูงมาก มีแนวโน้มว่าจะผลิตได้ในต้นปีหน้านี้ ซึ่งคาดว่าคนไทยจะมีวัคซีนใช้ในปี 2564
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีการเตรียมความพร้อมภายในประเทศรับวัคซีน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย ทำการผลิตต่อ แจกจ่าย หรือบรรจุ ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมเอาไว้ และวันนี้ทุกอย่างถือว่าพร้อมรับหากวัคซีนผลิตได้สำเร็จ
"ถือเป็นสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งรัชกาลที่ 10 ก็ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดตรงนี้มา และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ฯ เป็นผู้ที่จะทำการผลิตต่อ ถ่ายทอดเทคโนโลยีเข้ามาด้วย และคงไม่ใช่แค่ตรงนี้ เพราะวันหน้าเราไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นมาอีก แต่อันนี้ถือเป็นความพร้อมของเราแล้ว ให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในเรื่องของวัคซีน ก็ขอให้คนไทยทุกคนได้ช่วยกันตั้งจิตให้ทุกอย่างสำเร็จด้วยดี" นายกฯ ระบุ
นอกจากที่ดูแลและจ่ายประชาชนในประเทศ ยังมีสัญญากับอาเซียนว่าจะต้องดูแลซึ่งกันและกัน และวัคซีนจะต้องเป็นสินค้าสาธารณะ เพื่อให้คนทุกคนนั้นเข้าถึง ส่วนด้านการวิจัย พัฒนายา และวัคซีน หรือการวิจัยอื่นๆ รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว มีการจัดทำกองทุนและระเบียบใหม่ในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งในขณะนี้มีหลายผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพที่มีการผลิตภายในประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศด้วย พร้อมกับในอนาคต หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าและสามารถฟื้นฟูได้ ประเทศไทยจะต้องพึ่งตัวเองให้ได้ในเรื่องวัคซีน และจะต้องเพียงพอต่อประชาชนทั้งในภาวะปกติและในภาวะฉุกเฉิน
ติดเชื้อเพิ่ม 19 ราย
ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ล่าสุดพบผู้ป่วยรายใหม่ 19 ราย จึงทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมมีจำนวน 3,961 ราย ส่วนผู้ที่รักษาหายแล้วเพิ่ม 2 ราย จึงมียอดสะสมผู้ที่ได้รับการรักษาหายแล้ว 3,790 รายส่วนผู้เสียชีวิตยังมียอดสะสมอยู่ที่ 60 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 111 ราย
สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 19 ราย ได้แก่ 1.ผู้ที่มาจากประเทศเยอรมนี 2 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 26 และอายุ 52 ปี 2.ผู้ที่มาจากประเทศอินเดีย 2 ราย เป็นชายสัญชาติอินเดีย อายุ 32 ปี อาชีพพนักงานบริษัท รายที่ 2 เป็นชายสัญชาติอินเดีย อายุ 44 ปี อาชีพวิศวกร 3.ผู้ที่มาจากประเทศสวีเดน 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 31 ปี อาชีพพนักงานนวด เดินทางต่อเครื่องที่ประเทศกาตาร์
4.ผู้ที่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา 3 ราย โดยรายที่ 1 เป็นชายไทย อายุ 30 ปี เดินทางต่อเครื่องบินที่กาตาร์, รายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 75 ปี มีประวัติติดเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2563 เดินทางต่อเครื่องบินที่กาตาร์ ส่วนรายที่ 3 เป็นชายสัญชาติอเมริกัน อายุ 61 ปี เดินทางต่อเครื่องบินที่เกาหลีใต้ 5.ผู้ที่มาจากประเทศสหราชอาณาจักร 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 27 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว เดินทางต่อเครื่องบินที่เกาหลีใต้
6.ผู้ที่มาจากประเทศอิตาลี 1 ราย เป็นชายสัญชาติอิตาลี อายุ 42 ปี อาชีพโปรแกรมเมอร์ เดินทางต่อเครื่องบินที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7.ผู้ที่มาจากประเทศลักเซมเบิร์ก 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 30 ปี อาชีพเชฟทำอาหาร เดินทางต่อเครื่องบินที่กาตาร์ 8.ผู้ที่มาจากประเทศโอมาน 1 ราย เป็นชายสัญชาติโอมาน อายุ 69 ปี อาชีพนักธุรกิจ
9.ผู้ที่มาจากประเทศซาอุดีอาระเบีย 4 ราย ประกอบด้วย นักเรียนชายไทย อายุ 5 ขวบ, นักเรียนชายไทย อายุ 10 ขวบ, นักเรียนหญิงไทย อายุ 12 ปี และหญิงไทย อายุ 40 ปี อาชีพครู ทั้งหมดเดินทางต่อเครื่องบินที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 10.ผู้ที่มาจากประเทศจอร์เจีย 2 ราย ได้แก่หญิงไทย อายุ 30 ปี อาชีพพนักงานนวด และหญิงไทย อายุ 37 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว ทั้งคู่เดินทางต่อเครื่องบินที่กาตาร์ และ 11.ผู้ที่มาจากประเทศโปแลนด์ 1 ราย ชายไทย อายุ 41 ปี เดินทางต่อเครื่องบินที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.-25 พ.ย.2563 กระทรวงการต่างประเทศร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อำนวยความสะดวกคนไทยกลับมาแล้วทั้งสิ้น 128,103 คน จาก 141 ประเทศ รวมทั้งได้ออกหนังสือรับรองให้ชาวไทยเดินทางเข้าราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.-24 พ.ย.2563 รวม 40,401 ราย แบ่งตามสัญชาติมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ จีน 7,116 ราย, ญี่ปุ่น 5,472 ราย, สหรัฐอเมริกา 3,279 ราย, สหราชอาณาจักร 2,640 ราย และเกาหลีใต้ 2,169 ราย โดยทุกคนเข้ารับการกักตัวเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ ยังได้เสนอแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น (ธ.ค.2563-ม.ค.2564) สำหรับนักท่องเที่ยวประเทศตะวันตก โดยอยู่ระหว่างพิจารณาให้เข้ามาเป็นกลุ่มโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ และให้กักตัวในรีสอร์ตหรือสถานที่ที่จะมาท่องเที่ยว นอกจากนี้ ได้มีการผ่อนคลายเรื่องการตรวจลงตราประเภทต่างๆ รวมถึงปลดล็อกให้ชาวต่างชาติเข้ามาได้ทุกประเทศทั่วโลก จากเดิมที่อนุญาต 23 ประเภท โดยมีผลตั้งแต่ 2 พ.ย.2563 ซึ่งกลุ่มนี้เดินทางเข้ามาแล้ว 260 ราย
สธ.เปิดจอง รร.กักตัว
ที่โรงแรมเมอเวนพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท กรุงเทพมหานคร นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และนายจอห์น บราวน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อโกด้าฯ ร่วมแถลงข่าว “การดำเนินงานสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) และเปิดตัวแพลตฟอร์มจองแพ็กเกจโรงแรมสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ)”
นายสาธิตกล่าวว่า สธ. โดย สบส. ได้ร่วมมือกับบริษัท อโกด้าฯ เปิดตัวระบบปฏิบัติการจองแพ็กเกจโรงแรมสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก ประเทศแรกของโลกที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการจองโรงแรมสถานที่กักตัวแก่ชาวไทยที่ต้องการเดินทางกลับเข้าประเทศไทย และชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในประเทศไทย ช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการค้นหาเปรียบเทียบแพ็กเกจ ASQ ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีบริการที่ครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้บริการ มีการแสดงผลมากถึง 39 ภาษา บริการดูแลลูกค้าใน 21 ภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและจีนบริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง และมีกระบวนการชำระเงินที่สะดวกรวดเร็ว นับเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบกิจการในทุกระดับ
นพ.ธเรศกล่าวว่า ขณะนี้มีโรงแรมที่ได้รับการรับรองเป็น ASQ แล้ว 113 แห่ง สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ 1,200 ล้านบาท สำหรับการเปิดตัวแพลตฟอร์ม เบื้องต้นมีสถานประกอบการเข้าร่วมแพ็กเกจ ASQ ให้เลือกรับบริการประมาณ 37 แห่ง และจะขยายเพิ่มจำนวน ASQ และสถานที่ควบคุมโรคทางเลือกในต่างจังหวัด อีกกว่า 100 แห่ง คาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 30,000 ราย และสร้างรายได้ให้ประเทศเพิ่มอีกกว่า 1,000 ล้านบาท
ที่ จ.ภูเก็ต พล.ร.ท.โทเชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 (ศรชล.ภาค 3) เปิดเผยว่า เป็นวันแรกของการเข้ามาของเรือยอชต์ จำนวน 3 ลำ ที่ขอเข้าจอดในภูเก็ต ดังนี้ 1.เรือ Crabby สัญชาติออสเตรีย 2.เรือ Investigator ll สัญชาติมาเลเซีย และ 3.เรือ Cayenne สัญชาติมาเลเซีย โดยศรชล.ภาค 3 จัดตั้งหมู่เรือรักษาความปลอดภัยเรือยอชต์ที่เข้ามาในพื้นที่ และได้วางกำลังจัดหมู่เรือรวม 3 ชุด ซึ่งทุกลำที่เข้ามาต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดเพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |