ศาลสั่งคุก 2 ปี "วัลลภ พุกกะณะสุต" อดีตประธานบอร์ดการบินไทย ทุจริต ขนสัมภาระจากญี่ปุ่นขึ้นเครื่องกลับไทยเกินสิทธิ์เลี่ยงค่าขนส่ง โดยสั่งให้แก้ไขน้ำหนัก
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวัลลภ พุกกะณะสุต อดีตกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.ความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 กรณีจำเลยเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง กก.บริษัท การบินไทย และประธาน กก.บริหารฯ ใช้อำนาจโดยทุจริต สั่งการให้พนักงานบริษัท การบินไทย แก้ไขน้ำหนัก เป็นการปกปิดน้ำหนักสัมภาระที่แท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงค่าระวางขนส่งที่เกินสิทธิ เป็นเหตุให้บริษัท การบินไทย เสียหาย
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงปี 2552 อดีตประธานบอร์ดบริหารการบินไทยพร้อมภริยาเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น ถูกกล่าวหาว่าขนสัมภาระน้ำหนักกว่า 300 กิโลกรัม กลับมายังสนามบินสุวรรณภูมิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายน้ำหนักที่เกิน ทำให้การบินไทยสูญเสียรายได้จำนวนมาก ต่อมาบอร์ดบริหารการบินไทยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยต้นปี 2553 มีมติสั่งปรับเงินอดีตผู้บริหารดังกล่าว
วันนี้จำเลยเดินทางมาศาล
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานจากทางไต่สวนซึ่งจำเลยยกขึ้นอ้างว่าไม่เคยทราบจำนวนสัมภาระ ไม่ได้รับการแจ้งน้ำหนักสัมภาระว่าเกินสิทธิต้องเสียค่าระวาง ไม่ได้แจ้งสั่งให้รวมน้ำหนักสัมภาระและแก้ไขน้ำหนักในระบบเพื่อไม่ต้องชำระค่าระวาง โดยปราศจากพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน จึงมีน้ำหนักน้อย ไม่อาจฟังหักล้างข้อเท็จจริงที่ได้ความจากผู้จัดการ การบริการสนามบินโตเกียวในขณะนั้น ซึ่งถูกกันไว้เป็นพยานได้ ทั้งทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างว่าถูกบุคคลสร้างเรื่องใส่ร้าย ไม่มีน้ำหนักให้ฟังข้อเท็จจริงได้เช่นนั้น
แม้จากทางไต่สวนจะปรากฏข้อพิรุธ ซึ่งพยานให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนตามเอกสารว่าพยานเคยบันทึกภาพเหตุการณ์ที่จำเลยขนสัมภาระโดยไม่ชำระค่าระวางหลายครั้ง แต่กลับไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน รวมทั้งข้อพิรุธเกี่ยวกับภาพถ่ายกระเป๋าสัมภาระที่อ้างว่าเป็นของจำเลยตามที่ปรากฏในคำเบิกความของพยานในคดีนี้ แต่ข้อพิรุธดังกล่าวก็ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับเหตุการณ์ระหว่างจำเลยกับพยานที่สนามบิน อันเป็นมูลเหตุคดีนี้ไม่มีผลทำให้ข้อหักล้างของจำเลยกลับมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ประกอบกับข้อเท็จจริงในเหตุการณ์เป็นการสนทนากันระหว่างพยานกับจำเลยเพียงชั่วขณะ และโอกาสที่จะมีผู้รู้เห็นเหตุการณ์นอกจากบุคคลดังกล่าวเป็นไปได้ไม่มาก จึงเป็นพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีให้รับฟังถ้อยคำของพยานได้
พยานหลักฐานจากการไต่สวนจึงฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยสั่งการให้พยานซึ่งมีหน้าที่เรียกเก็บค่าระวางสัมภาระส่วนที่เกินสิทธิละเว้นไม่บังคับเรียกเก็บค่าระวางดังกล่าวจากจำเลย ซึ่งมี 1 สัมภาระขนส่งเกินสิทธิที่ไม่ต้องชำระค่าระวาง และให้พยานแก้ไขน้ำหนักสัมภาระดังกล่าวเพื่อปกปิดน้ำหนักที่แท้จริง หลีกเลี่ยงการชำระค่าระวางดังกล่าว อันเป็นการก่อให้พยานซึ่งเป็นพนักงานในองค์การของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ลงโทษจำคุก 2 ปี.
ต่อมา นายวัลลภ จำเลย ได้ยื่นขอประกันตัวระหว่างสู้คดี โดยใช้หลักทรัพย์เดิมมูลค่า 200,000 บาท ศาลอาญาทุจริตฯ พิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |