เมื่อวานผมเขียนถึงการฟื้นเศรษฐกิจแบบ K หรือ K-shaped recovery ที่คนไทยควรจะทำความเข้าใจเพื่อประเมินสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจากนี้ไป
ไม่ว่าเราจะได้วัคซีนโควิดภายในสิ้นปีหรือภายในกลางปีหน้าก็ตาม
คำว่าฟื้นแบบตัว K คือมีเศรษฐกิจบางส่วนเป็นขาขึ้น แต่อีกบางส่วนเป็นขาลง
เพราะการฟื้นจะไม่เท่ากัน และบางส่วนจะไม่ฟื้นด้วยซ้ำไป แต่อีกบางกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ ขยับขึ้น และอีกหลายประเภทอาจจะฟื้นช้ากว่าที่เหลือ
ฝรั่งเรียกว่า uneven recovery
ดังนั้นพอบอกว่าเฉลี่ยทั้งปีนี้ ตัวเลขจีดีพีเราอาจจะ -6% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ -10% ก็อย่าได้นึกว่าทุกวงการจะเป็นเช่นนั้น
การฟื้นในระดับที่ไม่เท่ากันนี้แหละทำให้เราไม่อาจจะมองอะไรในภาพรวมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
วันก่อนผมอ่านเจอความเห็นของ ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
ท่านนำเสนอไว้น่าสนใจ ท่านบอกว่า
ที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วกว่าคาดนั้นอาจจะเข้าลักษณะ "เมื่อข่าวดีคือข่าวร้าย"
ท่านถามว่า "...ปัญหาคือกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบนี้อาจกระจุกในระดับบน คือคนมีรายได้หรือมีทรัพย์สินมาก หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง เหมือนขีดบนของตัว K แต่อีกกลุ่มคือผู้ประกอบการรายเล็กและคนรายได้น้อย หรือคนที่ไม่มีรายได้ประจำอาจไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว เพราะเขาอาจเป็นขีดล่างของตัว K"
การท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่เกิด ธุรกิจเกี่ยวเนื่องยังมีปัญหา การจ้างงานยังไม่เต็มที่ มีอีกหลายคนที่ต้องการสภาพคล่องเพราะยอดขายไม่พอรายจ่าย ธุรกิจไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ หากไม่มีการเจรจากับเจ้าหนี้หรือพักชำระหนี้ ปัญหาสภาพคล่องจะนำไปสู่ปัญหาธุรกิจล้มละลาย ซอฟต์โลนยังไปไม่ทั่วถึง กลุ่มที่พึ่งพิงรายได้จากการส่งออกแม้จะเริ่มยินดีที่ส่งออกติดลบลดลง แต่จากเงินบาทที่แข็งค่าเร็วอาจส่งผลให้ธุรกิจมีรายได้ลดลงได้
แน่นอนว่าธนาคารพาณิชย์ยังกังวลปัญหาหนี้เสีย ซึ่งมักจะคัดเลือกกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือมีศักยภาพสูงในการชำระคืนหนี้ และอาจทำให้การปฏิเสธคำขอสินเชื่อสูงต่อเนื่องได้
ท่านถามว่าแล้วคนที่ต้องการเงินหมุนเวียนจะทำอย่างไร
"วันนี้ถ้าเราดูเพียงตัวเลขเศรษฐกิจและนโยบายการคลังที่เดินหน้าเช่นนี้ เราอาจมองเป็นข่าวดี แต่ถ้ามีคนบอกว่าเมื่อเศรษฐกิจดีคุณก็ช่วยตัวเองได้แล้ว คลังหรือแบงก์ชาติถอยห่างออกมาได้แล้วนะ คุณจะทำอย่างไรหากคุณยังอยู่ในขีดล่างของตัว K"
เพราะข่าวที่เศรษฐกิจดีอาจเป็นข่าวร้ายของเขา
ดร.อมรเทพบอกว่า ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมองว่านโยบายการเงินยังจำเป็นต้อง active หรือเดินหน้าช่วยประคองเศรษฐกิจอยู่ แต่อาจไม่ใช่การใช้ดอกเบี้ยเหมือนเดิม
ท่านเรียกมันว่า "Unconventional Monetary Policy" หรือนโยบายการเงินนอกกรอบ
เศรษฐกิจที่ฟื้นในระดับบน ขณะที่ความเสี่ยงยังกระจายอยู่ในระบบ เช่น ปัญหา NPL ซึ่งขณะนี้กำลังหมดมาตรการพักชำระหนี้ เงินเฟ้อต่ำหลุดกรอบ (เงินเฟ้อติดลบ) ทำให้นักลงทุนขาดแรงจูงใจในการผลิตและสต๊อกสินค้า เงินบาทแข็งค่ากระทบผู้ส่งออก และเศรษฐกิจไตรมาส 4 เสี่ยงติดลบเทียบไตรมาส 3 ที่ทำให้ภาพการฟื้นตัวสะดุดได้
โดยเฉพาะปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภค รวมทั้งการท่องเที่ยวในประเทศอาจสะดุดได้หากคนไม่มั่นใจในความปลอดภัยหรือบรรยากาศการท่องเที่ยวหายไป
โดยหาก กนง.จะลดดอกเบี้ยเมื่อปัญหาเศรษฐกิจเร่งขึ้น หรือมีวิกฤติการเมืองที่ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจ ก็น่าจะทำได้ โดย
1) ลดดอกเบี้ย FIDF ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.23% โดยอาจมีการลดลงทั้งหมด
2) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% โดยอาจลดเหลือ 0.25% และ
3) ชวนธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยตาม เพื่อประคองเศรษฐกิจในช่วงที่มีปัญหาการเมืองควบคู่กับปัญหาโควิด-19
แต่ ดร.อมรเทพมองว่าในขณะนี้การลดดอกเบี้ยโดยรวมอาจยังไม่จำเป็น
อีกทั้งเป็นการ "หว่านแห" ให้ทุกคนได้ แม้แต่คนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจและสภาพคล่องในระบบยังมีมาก ต่อให้ลดไปก็อาจติดกับดักสภาพคล่อง
"คือสินเชื่อก็ยังไม่ขยายตัวเพราะคนขาดความเชื่อมั่นในการกู้ลงทุนหรือใช้จ่าย หรือแบงก์ห่วงความเสี่ยงจึงไม่ค่อยปล่อยกู้ การมองหานโยบายการเงินแบบตรงจุดอาจจะดีกว่า เช่น เร่งปล่อยซอฟต์โลนช่วยสภาพคล่อง SME เร่งขยายโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศของกองทุนรวมเอกชนเพื่อแก้ปัญหาบาทแข็ง คล้ายๆ รักษาสมดุลเงินไหลเข้าไหลออก หรือคลายเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่อหรือการพิจารณาการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญ
ผมมองว่านโยบายการเงินยังต้อง active ในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง และหวังว่าธุรกิจและคนทั่วไปจะได้รับกระแสเงินสดที่พอเพียง สามารถรักษาการจ้างแรงงานไว้ได้ ไม่ล้มละลายไปก่อนสิ้นสุดวิกฤติโควิด"
ท่านจึงเสนอว่าอยากคาดหวังว่า กนง.จะหยุดลดดอกเบี้ย แล้วหันไปใช้มาตรการคล้ายๆ QE ในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงิน หรือแม้แต่เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยตรง (ปล่อยกู้ให้คลังไปใช้จ่าย)
"แต่ต้องยอมรับว่ามาตรการที่ใช้รักษาเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้นั้น แม้ช่วยไม่ให้เกิด panic sell ได้ แต่ก็ยังไม่ได้เติมเงินเข้าระบบ หรือมาซื้อตราสารหนี้เอกชนอย่างที่หวังกัน"
เป็นที่มาของข้อสรุปของ ดร.อมรเทพว่า ทางการควรจะมี "มาตรการทางการเงินในรูปแบบใหม่" มากกว่าการใช้ดอกเบี้ย
ในภาวะผิดปกติเช่นนี้ก็ต้องใช้มาตรการไม่ปกติเท่านั้น!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |