รัฐบาลตัดสินใจส่ง “สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงไปแก้ปัญหาโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ ภาค 5 บนพื้นที่ป่าเชิงดอยสุเทพ ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หลังยืดเยื้อยาวนาน ยังหาทางลงกันไม่ได้
พยายามใช้กลไกในพื้นที่แก้ปัญหา ตั้งแต่ส่ง พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ไปเปิดเวทีสาธารณะเพื่อร่วมกันหาทางออก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้บทสรุป กลับยิ่งลุกลามบานปลายเข้าไปใหญ่ จากต่อต้านกระจุกแค่ระดับพื้นที่ ขยายเป็นระดับประเทศ
คนดัง คนมีชื่อเสียง ทยอยเข้าสมทบ รวมตัวคัดค้านบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ กับเหล่าประชาชน มีอีเวนต์เชิงสัญลักษณ์หนักและถี่ ไม่ว่าเจรจากี่ทีต่อกี่ที ข้อเสนอของประชาชนยังคงหนักแน่นว่า ต้อง “รื้อ” เพื่อคืนผืนป่า ไร้วี่แววว่าจะล่าถอย หรือสร่างซาแม้แต่นิดเดียว
เป็นพลังขับเคลื่อนบริสุทธิ์ที่มุ่งอนุรักษ์ ยิ่งขยายใหญ่ยิ่งไม่ส่งผลดีต่อประเทศโดยรวม เหมือนที่ “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ระบุ ตอนนี้ยังไม่มีการเมืองแทรกแซง แต่หากปล่อยนานเกินไปเรื่อยๆ
“อาจไม่แน่”!!!
ปัญหาบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ แม้จะมีความพยายามหาทางออกให้กับทั้ง 2 ฝ่ายตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่ว่ากันตามความจริง วิธีการแก้ปัญหาในช่วงที่ผ่านมา ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการ “การเจรจา” เพราะเดดล็อกที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของ “กฎหมาย” กับ “สำนึกอนุรักษ์”
ที่ไม่มีใครผิด ใครถูก!!!
ฝ่ายศาลยุติธรรมแม้ใจอยากยอมถอย ตามกระแสเรียกร้องคนในประเทศ แต่สนองไม่ได้ในเงื่อนไขกฎหมายที่ค้ำคอ ขณะที่ฝ่ายประชาชนไม่ได้หวังทำลายตัวบทกฎหมาย เพียงเพราะความไม่พอใจ แต่ข้อเรียกร้องเกิดขึ้นภายใต้สำนึกที่หวงแหวนผืนป่า
มันยื้อกันมาจนไร้ทางออก แต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังกุมมาตรา 44 ไว้แน่น ไม่เอามาใช้ แม้จะมีหลายฝ่ายปรารถนาวิธีดังกล่าว
หลายคนรู้มันน่าจะเป็น “ทางเดียว” ที่ปลดเปลื้องปัญหานี้ได้ แต่ คสช.ยังไม่ใช้ แต่ให้ “สุวพันธุ์” ลงพื้นที่เชียงใหม่ในวันที่ 6 พ.ค. เพื่อไปแก้ปัญหากันอีกรอบ
คนในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม, วิษณุ หรือแม้แต่ “สุวพันธุ์” เองแสดงความเชื่อมั่นว่า จะจบได้สวย แต่ขณะที่หลายฝ่ายรู้ดีว่า
“ยาก”!!!
การลงพื้นที่ของ “สุวพันธุ์” ครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการลงไป “เชิงสัญลักษณ์” ว่า เรื่องมาอยู่ในมือรัฐบาลโดยตรงแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะมีกองทัพภาคที่ 3 ดูแล แต่การที่รัฐมนตรีในรัฐบาลลงไป เหมือนเป็นการแสดงให้เห็นว่า งานนี้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพเอง
และยังแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลยังหวังว่า ปัญหานี้จบลงได้ที่ “โต๊ะเจรจา” หลังพบว่า ยังมีเสียงบางส่วนที่รับได้หากไม่ต้องจบที่
“รื้อทั้งหมด”!!!
แต่ก่อนลงไปรัฐบาลก็รู้ดีว่า มันไม่ง่ายเหมือนที่แสดงความมั่นใจกัน เพราะการคัดค้านครั้งนี้ไม่ใช่ม็อบการเมืองที่มีแกนนำเป็นตัวเป็นตน แต่เกิดจากความคิดเห็นที่สอดคล้องกันเรื่อง “อนุรักษ์” แล้วมารวมกัน
ผู้ที่ปรากฏตัวว่า เป็นเหมือนแกนนำของการคัดค้านครั้งนี้ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถชี้หรือสั่งผู้ชุมนุมให้ “รับ” หรือ “ไม่รับ” ข้อเสนอได้ เพราะแกนนำแต่ละคนยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน
มวลชนส่วนหนึ่งอาจรับได้ แต่มวลชนส่วนหนึ่งอาจรับไม่ได้ ความยากของปัญหานี้คือ ทำให้ทุกคน “รับได้” ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องยาก
การเลือก “สุวพันธุ์” ลงไปในพื้นที่ ประเด็นหลักไม่ใช่เพราะเคยเป็น “รมว.ยุติธรรม” แต่เพราะเป็นรัฐมนตรีที่มีบุคลิก “รอมชอม” เคยถูกส่งลงไปแก้ปัญหาลักษณะนี้หลายต่อหลายครั้ง และยังเป็นรัฐมนตรีที่ทำงานเกี่ยวกับการประสานงานมาโดยตลอด
มันไม่ใช่ “เผือกร้อน” ที่รัฐบาลมอบหมายให้ “สุวพันธุ์” รับหน้าเสื่อ แต่เป็นอีกยุทธวิธีที่รัฐบาลต้องการยื้อเป็นครั้งสุดท้ายหมายให้จบที่ “วงเจรจา”
ความล้มเหลวของ “สุวพันธุ์” ถ้ามันเกิดขึ้นจากการลงไปครั้งนี้ จะไม่ใช่ความผิด หากแต่มันจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า รัฐบาลได้พยายามทุกทางแล้วที่จะใช้วิธีปกติแก้ปัญหา
แต่ในเมื่อไม่สามารถ “ปลดล็อก” ได้ ถึงตอนนั้นการใช้มาตรา 44 จะมีความชอบธรรมทุกอย่าง
แม้แต่ “บิ๊กตู่” เอง จะได้แต้มตัวนั้นมาไม่น้อยเหมือนกัน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |