เล็งงัดม.112ฟันม็อบ นายกฯห่วงความรุนแรงขยายตัวลั่นบังคับใช้กม.ทุกมาตรา


เพิ่มเพื่อน    

  “ประยุทธ์” ออกแถลงการณ์จะเพิ่มการบังคับใช้กฎหมายทุกมาตราทุกตัวให้เข้มข้นจัดการม็อบ ชี้เพราะสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงขยายตัว “ตำรวจ” รับพร้อมงัดมาตรา 112 จัดหนักหากองค์ประกอบครบ ประเดิมชุมนุมวันที่ 21 และ 25 พ.ย. “อานนท์” ชี้เป็นประกาศสงคราม เล็งยกเพดานการต่อสู้ทางสันติวิธี เพนกวินบอกสาดสีเป็นศิลปะต่อสู้แบบสันติ “เด็กก้าวไกล” พล่านซัดแถลงการณ์เฮงซวย

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรีระบุว่า จากสถานการณ์การชุมนุมในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลและทุกฝ่ายกำลังร่วมกันหาทางออกโดยสงบและสันติบนพื้นฐานของกระบวนการตามกฎหมาย และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีท่าทีที่จะบรรเทาลง แม้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ใช้ความพยายามปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ดำเนินการต่างๆ ตามหลักสากลด้วยความระมัดระวัง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรักษาบรรยากาศของความรักความสามัคคีปรองดองของทุกคนในชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นสำคัญ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงไม่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีนัก และมีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งนำไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อาจเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ และสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง รวมทั้งความสงบสุขปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยทั่วไป
“รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงจึงจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติ โดยจะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่ ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมที่กระทำความผิด ฝ่าฝืนกฎหมาย เพิกเฉยต่อการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยจะดำเนินคดีต่างๆ ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ที่สอดคล้องกับหลักการสากล จึงขอแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน” แถลงการณ์ระบุ
      นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงแถลงการณ์นายกฯ ว่าเพื่อให้สถานการณ์ภายในประเทศเกิดความสะดวกเรียบร้อย เพราะที่ผ่านมารัฐบาลผ่อนคลายมาตรการในหลายส่วนแล้ว แต่การชุมนุมที่เกิดขึ้นไม่ได้ชุมนุมโดยสงบเหมือนที่กล่าวอ้าง และมีแนวโน้มว่าหลังจากนี้จะมีผู้ที่เห็นต่างออกมาชุมนุมกันมากขึ้น จนนำไปสู่การเผชิญหน้าเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. จนเจ้าหน้าที่ต้องเข้าไประงับเหตุ และดูแลผู้บาดเจ็บ ดังนั้นเพื่อให้สังคมกลับมาสู่ความสงบโดยเร็ว เมื่อรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการแล้วไม่เป็นผล จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ส่วนการบังคับใช้กฎหมายจะเป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่ตำรวจคงชี้แจงออกมา ก็ขอให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจง
    เมื่อถามว่า บางฝ่ายออกมาระบุแถลงการณ์ดังกล่าวเหมือนข่มขู่ผู้ชุมนุม นายอนุชาตอบว่า ไม่ใช่ข่มขู่ แต่แถลงการณ์ที่ต้องการให้สังคมกลับมาสงบโดยเร็ว ไม่กระทบกับคนโดยรวมที่อาจไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม รัฐบาลไม่มีเจตนาข่มขู่ เพียงแต่ต้องการให้เหตุการณ์เกิดความสงบโดยสันติภายใต้กรอบกฎหมายเท่านั้น
พร้อมใช้มาตรา 112
    ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า ยังไม่ได้ดูรายละเอียดแถลงการณ์ แต่เชื่อว่านายกฯ ถอยมาทุกก้าวแล้ว โดยใช้ช่องทางต่างๆ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมกลับไม่ยอมรับและละเมิดกฎหมายมากขึ้นเรื่อยๆ และส่อความรุนแรงขึ้น ซึ่งการจะดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมโดยใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดอย่างไรนั้น ในข้อกฎหมายมีการระบุไว้แล้วว่าจะดำเนินคดีกับใคร ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบความผิดนั้นๆ  รวมถึงการนำมาตรา 112 มาใช้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและเจตนาของผู้กระทำ หากกระทำความผิดก็นำเสนอต่อผู้บังคับบัญชา หากเข้าองค์ประกอบความผิดใดตำรวจก็ดำเนินคดีทุกกรณี
“ตำรวจไม่กังวลที่จะนำมาตรา 112 กลับมาใช้อีกครั้ง เพราะเป็นไปตามหน้าที่ และยืนยันว่าตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับกลุ่มใด”พล.ต.ต.ปิยะกล่าว
    พล.ต.ต.ปิยะยังกล่าวถึงความรุนแรงที่แยกเกียกกายว่า ตำรวจมีข้อมูลทราบว่ามีชายสวมใส่เสื้อกันฝนสีชมพู ซึ่งคาดว่าจะเป็นการ์ดของกลุ่มราษฎร เป็นผู้นำอาวุธปืนเปิดฉากยิงใส่กลุ่มประชาชนที่ปักหลักชุมนุมที่ถนนทหารก่อน ส่วนจะฝึกฝนมาหรือไม่ อยู่ระหว่างสืบสวน รวมทั้งหลักฐานปลอกกระสุนที่ตกในที่เกิดเหตุ โดยพนักงานสอบสวนจะเก็บพยานหลักฐานดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.การชุมนุมโดยมิชอบ และร่วมกันตั้งแต่ 10 คนเป็นต้นไปก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง รวมถึงทำร้ายร่างกาย และทำให้สูญเสียทรัพย์สิน ส่วนกลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมที่ผิดเงื่อนไขการให้ประกันนั้น พนักงานสอบสวนเตรียมพิจารณาเสนอให้ศาลเพิกถอนประกันตัวแกนนำทั้งหมดที่ผิดเงื่อนไข และเตรียมเสนอศาลกำหนดห้ามแกนนำเข้าพื้นที่ที่มีการชุมนุม
    “ตำรวจมีความพร้อมรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมในวันที่ 21 และ 25 พ.ย. โดยจะเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น”พล.ต.ต.ปิยะระบุ
    ทั้งนี้ ในช่วงเช้า พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร. นำสื่อมวลชนลงสำรวจความเสียหายหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายหลังกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรสาดสีใส่ป้ายด้านหน้าและบริเวณโดยรอบ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 18 พ.ย. โดยพบว่ามีกล้องวงจรปิดถูกพ่นสีทับ 13 ตัว ป้ายชื่อ ตร. กำแพง และโคมไฟที่ได้รับความเสียหายเช่นกัน ซึ่ง ตร.มอบหมายให้ตำรวจสันติบาลแจ้งความเอาผิดแล้ว และยังมีตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ปฏิบัติหน้าที่บาดเจ็บเล็กน้อยจากการถูกขว้างปาสิ่งของจากข้างนอก 3 ราย ซึ่งแจ้งความไว้ที่ สน.ปทุมวันเช่นกัน รวมทั้งยังมีรถตำรวจของ สน.สุวินทวงศ์ ถูกพ่นสเปรย์และเจาะยางเสียหาย 1 คันด้วย ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ระหว่างการประเมินมูลค่า
“การชุมนุมเป็นสิทธิตามกฎหมาย แต่ขอให้ชุมนุมโดยสันติ ไม่ใช่การทำลายทรัพย์สินราชการที่มาจากภาษีประชาชนทั่วประเทศ” พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ระบุ
    นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะเลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงการเตรียมแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ใส่ร้ายนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ผ่านช่องทางโซเชียลฯ ว่าขณะนี้มีการกล่าวหาใส่ร้ายนายชวน โดยใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และช่องทางอื่นๆ ว่าเป็นคนสั่งการและสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายประชาชนในการชุมนุมหน้ารัฐสภา ซึ่งไม่เป็นความจริง นายชวน จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย โดยได้ลงนามในหนังสือมอบอำนาจให้ตนเองในฐานะทนายความไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
“มีทั้งคนที่กระทำผิดฐานหมิ่นประมาท และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไม่ได้ขู่ และไม่ได้ห้ามวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน แต่ควรวิจารณ์ตรงไปตรงมา ตรวจสอบให้เต็มที่ แต่ถ้าบิดเบือนใส่ร้ายด้วยความเท็จ ช่องทางที่จะระงับสิ่งเหล่านี้ได้ คือใช้กระบวนการกฎหมายดำเนินการให้ถึงที่สุด” นายราเมศระบุ
“สิระ”อัดม็อบถ่อย
ด้านนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าเป็นพฤติกรรมที่เลว ถ่อย นี่หรือคือการชุมนุมโดยสันติอหิงสา แต่เป็นความก่อจลาจล ยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าปราบปราม โดยผู้ชุมนุมคาดหวังอยากให้มีคนตาย เพราะจะใช้ศพมาเรียกร้องประชาธิปไตยและโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่
“ขอฝากไปถึงบรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย ว่าการชุมนุมในตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าไม่ปลอดภัยอย่างมาก เพราะฉะนั้นหากบุตรหลานของท่านเกิดบาดเจ็บ ขอให้อย่าออกมาเรียกร้องทีหลัง เพราะในเมื่อท่านไม่สามารถดูแลบุตรหลานของท่านได้ ก็คงไม่มีใครดูแลแทนท่าน” นายสิระกล่าว
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา กล่าวว่า ปัจจุบันต้องช่วยกันพิจารณาว่าผู้ชุมนุมได้เดินมาถึงจุดที่พ้นความชอบธรรมในการเรียกร้องทางการเมืองไปแล้วหรือไม่ เพราะจากการติดตามหลายช่องทาง ฟังความเห็นจากหลากหลายผู้คน ซึ่งมีข้อชวนคิดว่าการปราศรัยของแกนนำบนเวที และที่เขียนชี้นำผ่านโซเชียลฯ รวมถึงคนที่อยู่เหนือแกนนำที่โพสต์ชี้นำ ยุยงมีการดูหมิ่นจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศ์อันเป็นที่เคารพรักของคนไทยทั้งมวล ทำให้ค้นพบสิ่งที่ทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน เป็นการทำลายสถาบัน มิใช่การปฏิรูปหรือการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเคารพ สร้างสรรค์ หวังดี
      "สิ่งที่กำลังทำหาใช่หนทางของการสร้างอนาคตที่ดีให้กับสังคม ประเทศชาติหรือตัวเองไม่ แต่กำลังพาเด็กดีๆ ทั้งหลายเดินเข้ารกเข้าพง สิ่งที่กลุ่มผู้ชุมนุมกำลังทำกันอยู่ผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งสำนึกของความเป็นคน และกำลังจะก้าวข้ามเส้นที่ไม่ควรจะเดินข้าม” นายสุวพันธุ์กล่าว
     นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ขอฝากอนาคตของชาติไว้กับพวกเขาในสิบยี่สิบปีข้างหน้า ผู้นำที่ยืนพูดหรือนั่งเขียนให้ความเชื่อแก่เด็กหนุ่มสาวว่า คนที่อยู่ตรงข้าม ไม่เกินยี่สิบปีก็แก่ตายหรือหมดปัญญาขวางทางแล้ว พวกเราต้องอดทนรอได้ อาจจะจริงอย่างที่ว่าก็ได้ หรืออาจจะมีเด็กหนุ่มสาววัยเดียวกันที่เขามีภูมิคุ้มกันจากการเรียนรู้ด้วยสติและปัญญา บวกกับครอบครัวที่เข้มแข็ง ยืนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้สังคมไทยก็ได้ อีกสิบปียี่สิบปีข้างอาจเป็นพลังใหม่ของสังคมไทยก็ได้
    ขณะที่ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงแถลงการณ์นายกฯ ว่า การที่รัฐใช้หลักนิติศาสตร์ในการแก้ปัญหา อาจไม่สามารถตอบโจทย์ในปัจจุบันได้ จำเป็นต้องเอาหลักรัฐศาสตร์เข้ามาแก้ไขร่วมด้วย การใช้แต่หลักนิติศาสตร์อาจทำให้เกิดวิกฤติที่มากขึ้น และการบอกว่าจะให้กฎหมายทุกมาตราทุกฉบับไม่ชัดเจนว่าเป็นมาตราไหน และเรื่องใดย่อมนำไปสู่ความกังวลของผู้ชุมนุมได้
ซัดแถลงการณ์เฮงซวย
    นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวในประเด็นนี้ว่า เป็นแถลงการณ์ที่เฮงซวย ที่สมกับที่ออกมาจากรัฐบาลเฮงซวย ดื้อตาใส พูดได้โดยไม่อายปากหรือละอายแก่ใจว่าที่ผ่านมาดำเนินการด้วยความจริงใจ แต่ความจริงคือซ่อนความเหี้ยมโหดอำมหิตบิดเบือนความจริงเพียงเพื่อเป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จตามถนัดของผู้นำเผด็จการที่ความกลัวกำลังเข้าตา
    “ขอถามชัดๆ ตรงนี้เลยว่า จะอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อใช้มาตรา 112 ด้วยใช่หรือไม่ ขอเตือนว่าการนำความจงรักภักดีมาผูกไว้กับความล้มเหลวของรัฐบาลเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งต่อสถาบันเอง นี่ไม่ใช่ท่าทีของคนที่จริงใจทั้งต่อประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์เลย แต่เป็นนิสัยของเผด็จการขี้ขลาดที่ต้องการไล่ล่าจัดการกับประชาชนที่เห็นต่าง คิดต่าง” นายณัฐชากล่าว และว่า อย่าดันทุรังแล้วผลักประชาชนให้หมดหนทางเช่นนี้ สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดสงบลงได้แค่ลาออก ดีกว่าการประกาศทำสงครามกับประชาชน
    นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ทวีตข้อความว่า การประกาศว่าจะบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรา ซึ่งรวมถึง 112 ด้วยของนายกรัฐมนตรี เป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะการบังคับใช้ 112 เท่ากับรัฐบาลดึงให้สถาบันกษัตริย์เข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง ไม่มีข้อดีอะไร มีแต่เสียกับเสีย
    น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หรือเดียร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ทวีตเช่นกันว่า พล.อ.ประยุทธ์แถลงเท็จอย่างมหันต์ ในความเป็นจริงรัฐบาลไม่เคยจริงใจในการแก้ปัญหา เห็นได้จากการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 17 พ.ย. และใช้เสียงข้างมากรัฐสภาโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์อย่างไร้เยื่อใยต่อประชาชน หวังคงไว้ในอำนาจและสืบทอดอำนาจของตนต่อไป
      นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ถึงแถลงการณ์ว่า การประกาศขึงขังจะใช้ทุกมาตรานั้น รวมความแล้วว่าจะใช้มาตรา 112 แต่มาตรานี้ นายกฯ บอกว่าในหลวง ร.10 มีพระราชประสงค์ไม่ดำเนินคดีกับใคร หากย้อนอดีตแล้ว มาตรา 112 ถูกนำไปเป็นเครื่องมือแจ้งความขจัดฝ่ายตรงข้ามมาตลอด รวมทั้งสิ่งที่ไม่ได้อธิบายความว่าไม่ให้ใครไปฟ้องร้องกันเองได้นั้น แต่สิ่งที่ยังดูอยู่คือ ให้อำนาจอัยการสูงสุดไปฟ้องร้องได้ เพื่อป้องกันคนอื่นใช้ไปทำลายกันอีกหรือไม่
     "เมื่อนายกฯ ประกาศเช่นนี้ จึงหนีตัวเองไม่พ้น เพราะเรื่องทั้งหมดมาจากตัวท่านเอง แต่ที่ผ่านมานายกฯ มีโอกาสมากมาย ซึ่งการพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับ เพื่อลดความแตกแยกความขัดแย้ง ถ้าสภาให้โอกาสรับไปก่อนแล้วสถานการณ์จะคลี่คลายตามลำดับ” นายจตุพรกล่าว
ยกเพดานสู้สันติวิธี!
      ด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎร ล่าสุด นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563 ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า ประยุทธ์ประกาศรบกับประชาชน สำหรับข้าราชการที่ยังไม่เลือกข้าง ท่านต้องเลือกแล้วว่าจะอยู่กับอดีตหรือสร้างอนาคตไปพร้อมกับพวกเรา จะให้ความรุนแรงทั้งทางกฎหมายและทางกายภาพใดๆ กับผู้ชุมนุมก็เชิญตาม แต่ความชั่วช้าของพวกท่าน พวกเรายืนยันสันติวิธีขั้นสูงสุดในการต่อสู้ครั้งนี้ และพร้อมจะยกเพดานการต่อสู้ทางสันติวิธีแบบที่เคยยกเพดานด้านข้อเรียกร้องเช่นกัน ขอให้เพื่อนร่วมขบวนราษฎรเตรียมรับความชั่วช้าของประยุทธ์กับพวกให้พร้อม เตรียมอุปกรณ์ป้องกัน และดูแลจิตใจให้เข้มแข็ง มุ่งมั่น ต่อสู้เพื่อสังคมใหม่ของเราทุกคน
    นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563 ทวีตข้อความว่า สาดสีพ่นสีถือเป็นสันติวิธี เพราะการใช้ศิลปะแสดงสัญลักษณ์ไม่ได้ทำให้ใครบาดเจ็บล้มตาย ถ้าแค่พ่นสียังถือว่ารุนแรง ก็ไม่รู้แล้วว่าโลกนี้เหลืออะไรบ้างที่เรียกว่าสงบ
    ขณะที่เพจเฟซบุ๊กนักเรียนเลวโพสต์ว่า ถ้าสภาผู้แทนราษฎรรับบทไดโนเสาร์ ไม่รับ ไม่รู้ ไม่เปลี่ยนแปลง นักเรียนอย่างเราก็จะเป็นอุกกาบาตพุ่งชนความล้าหลังของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เมื่อเรียกร้องเรื่องการศึกษาแล้วไดโนเสาร์ไม่รับฟัง เจอกันราชประสงค์ 21 พ.ย. นี้ นักเรียนจะพูดทุกเรื่อง ทุกเรื่องที่ไดโนเสาร์ไม่อยากฟัง!
    ส่วนกลุ่มอาชีวะเพื่อนประชาธิปไตยและกลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตยโพสต์ว่า ขอแสดงการอริยะขัดขืนต่อการกระทำต่อเหตุการณ์ในม็อบเมื่อวาน ที่มีจาบจ้วงอย่างรุนแรง โดยในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ทั้งสองกลุ่มอาชีวะขอความร่วมมือโปรดอย่าแสดงสัญลักษณ์ทั้งสอง ส่วนท่านใดจะไปร่วมชุมนุมก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของท่าน ทั้งนี้ เมื่อเหตุการณ์การดูหมิ่นจาบจ้วงเบาบางไปจากม็อบ อาชีวะทั้งสองกลุ่มนี้จะเข้าร่วมชุมนุมครั้งต่อๆ ไป
    ด้านความคิดเห็นต่างๆ นั้น ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือท่านใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กถึงม็อบว่า เกินจะทนจริงๆ เลวกว่าเป็นมนุษย์ที่บอกตัวเองว่าเป็นคนไทย อิสรภาพ และเสรีภาพ เกินขอบเขตไปกันใหญ่แล้ว ถึงขนาดเขียนข้อความสาปแช่งสถาบัน มาตรา 112 ควรนำออกมาใช้ได้แล้ว ก่อนที่จะเหลิงกันมากไปกว่านี้
    นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ม็อบมาไกลเกินไปแล้ว? จาบจ้วงใส่ร้าย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพทุกครั้ง ทำร้ายความรู้สึกของคนไทยทุกคน ม็อบ?เหิมเกริมเกินกว่าจะรับได้? นี่คือความตั้งใจล้มล้างสถาบัน? อย่าปล่อยให้กระทำผิดรายวัน? โดยรัฐไม่จัดการ? ผู้คนกำลังอึดอัด? เบื่อหน่าย? และกำลังจะหมดความอดทนกับมาตรการและความใจเย็นของรัฐบาล? เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการตามกฎหมาย? นี่คือความผิดตามมาตรา? 112? ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ? หากไม่ดำเนินการถือว่า?ละเว้นการ?ปฏิบัติหน้าที่
    ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ว่า สิ่งที่คนในม็อบจำนวนหนึ่งแสดงออกผ่านการพ่นสีเมื่อวันที่ 18 พ.ย. แทบไม่ต่างจากการแสดงออกของปีศาจในร่างคน ซึ่งบาดความรู้สึกของคนจำนวนมากที่จงรักภักดี  ซึ่งทางการต้องตัดสินใจใช้มาตรา 112 ดำเนินคดีกับแกนนำม็อบและพวกหัวโจก
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์เฟชบุ๊ก "ศรีสุวรรณ จรรยา" ระบุว่า ม็อบสถุลไปที่ไหนทำเลอะเทอะเปรอะเปื้อนที่นั่น ถ้าอนาคตปล่อยให้ไปบริหารประเทศ คงต้องไร้ชาติ สิ้นแผ่นดินไทย เอาไปขังคุกดัดสันดานเสีย
    ส่วนนายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ระบุว่า อย่าใช้มาตรา 112 กับการชุมนุมทางการเมืองโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นการขัดพระราชประสงค์ที่ไม่ต้องการให้ใช้กับประชาชน ตามที่นายกฯ เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2563 หากมีการบังคับใช้จะเป็นการละเมิดพระราชดำรัสโดยตรง และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสียหาย
    นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรค พท. โพสต์เฟซบุ๊กว่า หากยังมีการชุมนุม ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลและรักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุม สุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน หากการชุมนุมขาดความชอบธรรม หรือทำความเดือดร้อนให้คนส่วนใหญ่ ผู้ร่วมชุมนุมก็จะลดลงและจะไม่ได้รับการสนับสนุน แต่รัฐบาลต้องไม่ทำตัวเป็นคู่ขัดแย้งหรือมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"