'จตุพร' หวั่นโหวตแก้รธน. เป็นเหตุสองม็อบปะทะ ลากเข้าวงจรรัฐประหาร


เพิ่มเพื่อน    

16 พ.ย.63 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk ตอนหนึ่งว่า สถานการณ์การเมืองวันที่ 17-18 พ.ย. รัฐสภาจะลงมติญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 และต้องตอกย้ำความจำอีกครั้ง รัฐบาลเป็นฝ่ายแถลงนโนบายพร้อมประกาศวาระเร่งด่วนต่อรัฐสภาเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่กลับยื้อเวลาตั้งกรรมาธิการมาศึกษาการ ขณะเดียวกันกลุ่มไทยภักดี นัดหมายไปชุมนุมที่รัฐสภาวันที่17 พ.ย. เวลา 9.00 น. แล้วยุติก่อนกลุ่มราษฎรประกาศนำชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเวลา 15.00น. แม้กลุ่มไทยภักดีประกาศว่า ไม่น่าจะเกิดม็อบชนม็อบ แต่สถานการณ์จริงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมราษฎรยืนยันว่า รัฐสภาต้องรับร่างแก้รัฐธรรมนูญของไอลอว์ด้วย ดังนั้น การปิดล้อมรัฐสภาทุกด้าน เมื่อสมาชิกรัฐสภาออกไม่ได้จะโกลาหล หวั่นหนีเกิดเรื่องกันไปไม่พ้น ทางด้านวุฒิสภา ยึดกุมมติให้ผ่านการรับร่างแก้รัฐธรรมนูญจำนวน 84 เสียง เป็นความได้เปรียบเหนือเสียงข้างมากของส.ส. เมื่อพิจารณาความเป็นไปได้แต่ละร่างแก้ไขแล้ว ร่างแก้รัฐธรรมนูญของไอลอว์และร่างแก้รายมาตราของฝ่ายค้าน 4 ฉบับมีความเป็นไปได้เท่ากับเป็นศูนย์ จึงหนีเหตุปะทะกันไม่พ้น ร่างไอลอว์ต้องถูกล้มโดยปริยาย อีกทั้งร่างแก้มาตรา 256 ของฝ่ายค้านอาจผ่านเพื่อถูกนำไปอธิบายความชอบธรรม แต่ต้องต่อสู้กันวาระสอง ในที่สุดเสียงรัฐบาลข้างมากคงให้ฝ่ายค้านแก้ไขรายมาตราไม่ได้เลย สถานการณ์เมืองจากนี้ไป อาจต้องมีเหตุให้ปะทะกัน แล้วนำไปสู่การอ้างเข้ามาทำรัฐประหาร หรือหากสมาชิกรัฐสภาถูกล้อมขังไว้ในรัฐสภา การยึดอำนาจยังนำไปใช้เป็นสาเหตุได้อยู่ดีและในสถานการณ์นี้การยึดอำนาจไม่ง่าย เพราะอาจยึดได้ แต่อยู่ยาก กลุ่มคัดค้านแก้รธน. อย่างไทยภักดี หัวเด็ดตีนขาดไม่เอาร่างไหนทั้งนั้น  

นอกจากนี้เมื่อผ่านสถานการณ์ 17-18 พ.ย.แล้ว จะมีการยื่นให้ศาล รธน.วินิจฉัยว่าร่างทั้งหมดขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยคว่ำร่างแก้ รธน.มาแล้วจนนำไปสู่การถอดถอนประธานรัฐสภาในสมัยนั้น การปะทะทางความคิดจะมีมาก ในวันพรุ่งนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้ารัฐสภาถูกปิดล้อมอาการน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ดังนั้น 2 วันนี้จะเป็นสถานการณ์นับถอยหลังทางการเมืองได้อยู่ เพราะทั้งสองฝ่ายพร้อมจะมีเรื่องกันได้ ในการวางแผนทางการเมือง ฝ่ายรัฐบาลคิดแต่เพียงเอาความได้เปรียบ โดยไม่ฟังอีกฝ่ายหนึ่งคิดอะไร ที่ผ่านมามักพาผู้มีอำนาจพังมาเสมอ อีกทั้งผู้มีอำนาจทุกยุคต้องฟังในสิ่งที่ตัวเองสบายใจเท่านั้น คือ อะไรก็ได้แม้ไม่เป็นความจริง แต่เป็นเสียงประจบเยินยอก็ตาม ซึ่งสุดท้ายผู้มีอำนาจทุกยุคสมัยจบลงด้วยการไม่ได้รับฟังความจริง และกว่าจะได้รับรู้ก็สายเกินไปแล้ว การรับฟังแต่สิ่งได้เปรียบนั้น มักจะเกิดความเสียเปรียบทุกด้านเสมอกันด้วย เพราะประชาชนรู้สึกถึงความไม่จริงใจทุกอนุขุมขนว่า ทุกอย่างเต็มไปด้วยเลห์เพทุบาย แม้มีความฉลาดสามารถเอาเปรียบทางการเมืองได้ แต่เมื่ออีกฝ่ายขยับแล้ว การคิดเอาแต่ได้เปรียบครั้งแรกจึงโง่บัดซบที่สุด 

นายจตุพรกล่าวว่า สถานการณ์วันที่ 17-18 พ.ย. ถ้าแต่ละฝ่ายยึดมั่นเอาจริงกันตามประกาศแล้ว คงเกิดเรื่องแน่นอน แต่ถ้าอีกฝ่ายจริง ส่วนอีกฝ่ายไม่จริงก็ไม่เกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นคำประกาศเอาจริงของทั้งสองฝ่ายเมื่อขยับมาปะทะกัน จะลากสถานการณ์สู่ทางตัน แล้วฝ่ายที่บอกได้เปรียบจะกลายเป็นฝ่ายเข้ามุมอับทางการเมืองกันเสียเอง หากถามว่า ฝ่ายที่คิดว่า ได้เปรียบทางการเมืองนั้น วันนี้ได้เปรียบอะไร เพราะทุกอย่างอยู่ในช่วงขาลงรุนแรง เราต้องใช้ความอดทนฟังวิจารณ์ต่อกัน แม้คนอยู่ฝ่ายรัฐบาลมักยึดว่าถูกท้าทายอำนาจ แต่จริงแล้วรัฐบาลผิดสัญญากับประชาชนเรื่องแก้ รธน. ชอบเล่นแร่แปรธาตุเอาเปรียบทางการเมือง ทั้งที่ประกาศนโยบายต่อรัฐสภากันเอง  

วันที่ 2 ธ.ค. ในคดีการวินิจบ้านพักนายกฯ ซึ่งไม่มีใครเชื่อเหมือนตน คนเชื่อว่ารอด 99% แต่ตนเชื่อไม่รอด 1% เพราะเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองลุกลาม อีกอย่างหลายเรื่องในอดีตอธิบายไม่ได้ แต่เหนือกว่าข้อเท็จจริงคือสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะปิดจ๊อบกันอย่างไร เหมือนการยุบพรรคเมื่อปี 2551 ทุกคนรู้ว่า มันไม่ปกติ ด้วยกรณีเดียวกันเช่นนี้  ถ้าศาลยึดหลักมาตรฐานวินิจฉัยกันแล้ว พร้อมทั้งสถานการณ์บ้านเมืองเป็นดังขณะนี้แล้ว โดยบางฝ่ายมีความเชื่อถึงขั้น แม้การวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง แล้วย้ายออกจากบ้านพักทหาร แต่ยังสามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯได้อีกรอบ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางเมืองไม่ง่ายแบบนั้น  หลายคนเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกฯอีก เพราะมองโลกสวยว่า คุมเสียงข้างมากอยู่ มี ส.ว. 250 เสียงในกำมือ แต่เป็นแค่การคิดตามหลักคณิตศาสตร์ เพราะทางการเมืองเมื่อไปแล้วไปลับเหมือนตาลปัตรพระเทศ หลังจากนั้นรอขึ้นเมรเผาอย่างเดียว  

“สถานการณ์ตั้งแต่วันที่17 พ.ย. ไปนับถอยหลังแล้ว เนื่องจากทางการเมืองเห็นแล้วว่า ยิ่งอยู่ยิ่งสร้างความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง รัฐบาลได้พิสูจน์มามากแล้ว จนเกิดวิกฤตประเทศทุกด้าน ปีหน้าจะหนัก และทีมเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่ยังไม่แสดงให้เห็นว่า จะพาประเทศพ้นวิกฤตได้อย่างไร ขณะนี้บ้านเมืองเราอยู่ภายใต้ทุกผูกขาดที่เล่นแร่แปรธาตุกับอำนาจ วันนี้ทุนสร้างอำนาจเป็นของคู่กัน จึงยากจะจัดสรรทรัพยากรเป็นธรรมให้เกิดความเท่าเทียม การจัดการทุกอย่างเอาเปรียบทั้งสิ้น เกิดอำนาจเหนือกว่าตลาด เพราะอำนาจทุนเหนือการเมือง จึงเป็นหายนะของประเทศชาติ แม้เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่เปลี่ยนแปลง แต่บ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการก็ตาม ปัญหาของชาติแท้จริงคือทุนผูกขาด ถ้าซีพีเล่นเรื่องรถพุ่มพวงขายกับข้าวอีก ผมว่ามีเรื่อง เพราะจะเกิดความรู้สึกที่ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นอยู่ได้ในยามบ้านเมืองลำบากทุกด้าน ถ้าถึงวันนั้น คนไทยจะไม่ทนคุณหรอก" 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"