12 พ.ย. 2563 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยปี 2564 Sharing Our Common Future ร่วมแรง เปลี่ยนแปลง แบ่งปัน” ในงาน SHARING OUR COMMON FUTURE ร่วมแรง เปลี่ยนแปลง แบ่งปัน ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2563 จะขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น โดยในวันที่ 16 พ.ย. 2563 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ จะปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปีนี้อีกครั้ง ซึ่งเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะเติบโตได้ดีที่สุดในอาเซียน
โดยทั้งหมดเป็นผลมาจากความพยายามในการร่วมมือกันแก้ปัญหา ควบคุมและระมัดระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างจริงจัง รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างถูกจุด ตรงประเด็น และทำได้ดี ดีกว่าหลายประเทศอย่างมาก โดยในช่วง 3 เดือนที่รัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลใช้เงินในการดูแลประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 8 แสนล้านบาท ผ่านมาจ่ายเงินเยียวยา 5 พันบาท 3 เดือน วงเงิน 4 แสนกว่าล้านบาท และสนับสนุนเงินหมุนเวียนสร้างสภาพคล่องธุรกิจอีก 3 แสนกว่าล้านบาท เพื่อแลกกับความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ไทยสามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้ยังเดินหน้าได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการสร้างเสถียรภาพทางการเงินที่เข้มแข็งของประเทศไทย
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2564 มองว่า เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสในการเติบโตอยู่มาก จากความหวังเกี่ยวกับความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และการเตรียมความพร้อมของรัฐบาลเพื่อรองรับการเดินหน้าของเศรษฐกิจหลังวิกฤติ การเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการอีอีซีทั้งหมด การมีเงินสำรองในระดับสูงกว่า 8.5 ล้านล้านบาท มีตลาดทุนที่เข้มแข็งและทันสมัย จะเป็นปัจจัยเสริมให้กับเศรษฐกิจในปีหน้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ มองว่าตั้งแต่ไตรมาส 2/2564 เป็นต้นไป ประชาชนทุกคนจะรู้สึกและสัมผัสได้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างจริงจัง โดยความสำเร็จของการฟื้นตัวในครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภาคเอกชน จากการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการลงทุนภาครัฐมีการเดินหน้าจริง โดยเฉพาะโครงการอีอีซีที่จะต้องดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ให้เข้ามาลงทุน เพื่อปรับเปลี่ยนสัดส่วนรายได้ของประเทศจากที่เคยอาศัยรายได้จากภาคการส่งออกและท่องเที่ยว เป็นรายได้จากสินค้าอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่
“ผมเชื่อมั่นว่าเรามีโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ท่าเรือ รองรับการลงทุนในโครงการในอีอีซีทั้งหมด โดยโครงการจะเริ่มการก่อสร้างในปี 2564 เป็นต้นไป นั่นหมายถึงปีหน้าจะเป็นปีของการเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติ ส่วนการลงทุนในอีอีซีจริงจะเกิดปี 2565 ส่วนปีหน้ายังต้องพึ่งพาการบริโภคในประเทศ การลงทุนภาครัฐและเอกชน ทั้งหมดยังเป็นกำลังสำคัญที่ใช้ในการรักษาและดูแลประเทศไทยให้เติบโตต่อไป” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2564 รัฐบาลจะจัดตั้งทีมปฏิบัติการเชิงรุก เพื่อทำหน้าที่ในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น หลังจากรัฐบาลเริ่มเปิดประเทศรักนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจเพื่อลงทุนในประเทศไทยแล้ว ก็จะมีมาตรการที่เตรียมสำหรับการส่งเสริมการลงทุนเฉพาะตัว เฉพาะประเภท มาตรการที่เปิดให้ต่างชาติที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยและได้วีซ่าระยะวาว 10 ปี ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยหลังจากนี้จะดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วย และจากความตั้งใจและความร่วมมือในครั้งนี้ เชื่อว่าภายในไตรมาส 2/2564 จะเริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติขนาดใหญ่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย และหลังจากนั้นภายในปี 2565 จะเริ่มเห็นการลงทุนอย่างแท้จริงมากขึ้น
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |