ดูเหมือน “วันพุธ” ทีไร ลุงตู่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มักมีอะไรให้เซอร์ไพรส์อยู่เสมอๆ อย่างช่วงแรกๆ ในการบริหารประเทศ ก็เป็น “พุธแห่งเอกเซอร์ไซส์” หรือพุธออกกำลังกาย ที่ ณ ปัจจุบันได้เก็บเข้าลิ้นชักไปแล้ว ต่อมา “พุธสัญจร” ที่มักจะเลือกไปตรวจราชการนอกทำเนียบรัฐบาล โดยเฉพาะในต่างจังหวัดอยู่เนืองๆ แต่ล่าสุดก็กลายเป็น “พุธเจื้อยแจ้ว” เสียแล้ว เพราะ “บิ๊กตู่” เรียกว่าสวมบททั้ง “นายกฯ-หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ร่ายยาวในงาน "ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน" …๐

ในงานดังกล่าวต้องเรียกว่า “บิ๊กตู่” ตัดพ้อและรำพัน ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยหนัก โดยเฉพาะประโยคที่บอกว่า “ผมก็กลัวติดคุกเหมือนกัน” แต่ส่วนที่ตอกย้ำหนักแน่นเหมือนทุกครั้งก็ยังมีเช่นเดิม นั่นคือ “ผมไม่ได้ห่วงที่ตัวผมเรื่องตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น แต่ผมห่วงฐานะประเทศไทยจะไปอยู่ตรงไหน” ขาดอยู่นิดเดียวหากมีประโยคให้ไปย้อนดูอดีตหรือในปี 2557 ก็ อาจบอกได้เลยว่า “นี่มันช่อง 3” ที่เอาละครยามค่ำมารีรันดีๆ นี่เอง ...๐

พูดถึงเรื่องรีรันแล้วเหมือนอย่างที่ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้โพสต์เฟซบุ๊กกรณี “คลิปธนาธรโดนเสื้อเหลืองรุมล้อมรถเมื่อไปลงพื้นที่ช่วยหาเสียงเลือกนายก อบจ.นครศรีธรรมราช” ว่าทำให้นึกย้อนไปถึงยุค “อภิสิทธิ์” ถูก นปช.ล้อม และทุบรถในกระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2552 หรือเมื่อปี 2555 ที่ “กลุ่มเสื้อแดง” ล้อมปาทุบรถ “พี่มาร์ค” ไปปราศรัยหาเสียงที่เชียงใหม่ แต่ กรณีของแก๊ง 3 คน อย่าง “พ่อฟ้า” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และ “พรรณิการ์ วานิช” นั้น ต้องบอกว่าเทียบไม่ได้ เพราะดูเทรนด์แล้วเชื่อว่าจะหนักหนาสาหัสกว่า “พี่มาร์ค” อักโข เพราะเชื่อว่าหากจังหวัดไหนรู้ว่า “แก๊ง 3 คน” ไปลงพื้นที่จะมีการจัดเต็มเหมือนที่พระประแดงและนครศรีธรรมราชแน่นอน ...๐

คงเหมือนกับที่ “ธนกร วังบุญคงชนะ” เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีบอกนั่นแลว่า “กฎแห่งกรรม” ตามทัน ที่สำคัญยังมีกรรมใหญ่ที่เรียกว่า “คดีความ” จ่ออยู่อีก โดยเฉพาะการร้องเรียนพฤติกรรมของคณะก้าวหน้า ที่ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยร้องไว้ ว่าทำตัวเสมือนเป็น “พรรคการเมือง” ล่าสุด 7 อรหันต์ กกต.ก็ได้เริ่มจับเข่าขุดคุ้ยแล้ว ซึ่งแนวโน้มก็ค่อนข้างชัดว่าเข้าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 111 ที่ว่า “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปดำเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมืองหรือผู้ใดดำเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใดให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมืองโดยมิได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนดห้าปี” งานนี้ก็ไม่รู้ว่า “ดร.กฎหมายฝรั่งเศส” จะสมอ้างอะไร ...๐

ยิ่งเมื่อ เคยมีบรรดาสมาชิกบ้าน 111 บ้าน 109 หรือแม้แต่กรณีตัวบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองมาแล้วก่อนแก๊ง 3 คน หรือ แม้แต่กรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่ถูกยุบไปก่อนหน้าไม่เท่าไหร่ให้เปรียบเทียบ ก็ยิ่งชัดแจ้งแดงแจ๋เข้าไปอีกว่ามีความแตกต่างแปลกแยกประการใด ยิ่งคำตัดพ้อของ “ปิยบุตร” ที่เคยพร่ำเพ้อก่อนตัดสินคดีที่ว่า การตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็เหมือนกับการ “ประหารชีวิต” ก็ยิ่งเป็นบ่วงมัดคอเข้าไปอีก เพราะการกระทำของแก๊ง 3 คนนั้นไม่ได้เรียกว่าประหารชีวิตแต่ประการใด แม้จะเรียกว่าโดนน้ำลวกร้อนยังไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะปฏิบัติตัวยิ่งกว่า “คนธรรมดา” ที่ไม่ได้มีการกระทำผิดแต่ประการใดเลย ...๐

เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ซึ่งกรณีของแก๊ง 3 คนอย่างน้อยก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์รวมน้ำใจอย่างอยากที่จะได้เห็น ภาพ "อานนท์ แสนน่าน" ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง และ “พุทธะอิสระ”  นั่งประกบกันด้วยรอยยิ้มอันปลาบปลื้มปีติ แบบถ้าไม่มีกรณี “ม็อบ 3 นิ้ว” เกิดขึ้นคงไม่ได้เห็นแน่นอน ...๐

พูดถึงม็อบราษฎรแล้ว ดูแลตั้งแต่ชุมนุมเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ในการส่ง “ราษฎรสาส์น” ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊กอย่าง “เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH” กลับมิได้มีการนัดหมายชุมนุมแต่ประการใดเลย ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมเล็กหรือใหญ่ในพื้นที่ใน กทม.และภูมิภาค แต่ล่าสุดกลับมา ปรากฏเพจเฟซบุ๊ก “Mob Fest” ได้โพสต์ข้อความนัดชุมนุมครั้งใหญ่อีกครั้งในวันเสาร์ที่ 14 พ.ย.นี้ ทั้งที่จดตั้งเฟซเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยอ้างว่ามีภาคีกว่า 20 เครือข่ายจะเข้าร่วม พร้อมติดแฮชแท็ก อาทิ #ม็อบ14พฤศจิกา #MOBFEST #จากทางเท้าถึงสถาบัน และ #แก้ได้ถ้าแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งงานนี้ก็ไม่รู้ว่าจะแกงหรือไม่คงต้องติดตาม ...๐

 ..ท.ศักดิ์