11 พ.ย.2563 - ที่ห้องแกรนด์ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กทม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดงานสัมมนาและกล่าวปาฐกถา ในงานสัมมนา "ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน" ตอนหนึ่งว่า วันนี้โลกของเราไม่ใช่โลกใบเก่า แต่เป็นโลกใบใหม่ เวลาตนไปคุยกับเอกอัครราชทูตหลายประเทศหลายปีที่ผ่านมา เขาก็พอใจประเทศไทย เขามีความสุขอยู่ประเทศไทย หลายคนบอกมีคนไม่อยากคุยกับตน แต่ตนก็เห็นเขาคุยกับตนทุกคน การประชุมต่างๆเขาก็เชิญไปทุกประเทศ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ตนไม่ได้บอกคนนั้นถูก คนนั้นผิด แล้วตนถูก มันไม่ใช่ ก็ต้องฟังกันทุกคน แล้วมาใคร่ครวญดูว่าสิ่งที่ทำมาแล้วดีหรือยัง ถ้าไม่ดีแล้วจะทำอย่างไร เราต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครได้มากได้น้อย รัฐบาลไม่ได้อะไร เรื่องทุจริตต่างๆถ้าเห็นก็แจ้งกันมา ช่วงที่ผ่านมามีเยอะพอควร ก็ลงโทษกันไป สิ่งเหล่านี้เป็นคนละบริบท ถ้าเอามาพันกันทั้งหมดทุกอย่าง มันก็ไม่ดีหมด ก็เป็นอยู่อย่างนี้
นายกฯกล่าวว่า วันนี้มันเป็นอย่างนี้ ซึ่งนี้คือโลก คือประเทศ ไม่ใช่ตัวเรา หรือบริษัทเราบริษัทเดียว รัฐบาลต้องมองในภาพรวม ทำอย่างไรให้คน 70 ล้านคนมีความสุขอย่างยั่งยืนและพอเพียง แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันเพียงพอ ตนยอมรับหลักการตรงนี้ ซึ่งต้องนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ พระองค์ท่านทรงทำไว้หมดแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะนำมาปฏิบัติได้อย่างไร อยู่ที่จิตใจประชาชนทุกคน ไม่อย่างนั้นขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ หลักการและเหตุผล จะทำอะไรต้องดู อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ อะไรที่ไม่ควรทำ นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลดูในภาพรวม เราต้องทำอย่างนี้เสมอ เพราะมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง รัฐบาลกำลังเร่งรัดการพัฒนาให้เป็นไปตามโลกปัจจุบัน ก็คือเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งมีทั้งบวกและลบ วันนี้กฎหมายต่างๆเกี่ยวกับออนไลน์ก็ออกมา แต่เราไม่ให้ความสนใจ กฎหมายมีทั้งคนได้และไม่ได้ มีทั้งคนเสียมากและเสียน้อย แต่กฎหมายต้องทำออกมา แต่กฎหมายต้องทำให้คนส่วนใหญ่ปฏิบัติได้
"ผมไม่ได้ห่วงที่ตัวผมเรื่องตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น แต่ผมห่วงฐานะประเทศไทยจะไปอยู่ตรงไหน และถ้าเขาไม่มา ย้ายฐานผลิตไปที่อื่นกันหมดจะทำอย่างไร เรื่องสิทธิประโยชน์ก็จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของเราว่าจะให้มากน้อยแค่ไหน มากเกินไปก็กลายเป็นเอื้อประโยชน์ ให้น้อยเกินไปเขาก็ไม่มา การปกครองต่างกัน สังคมนิยมประชาธิปไตยกับประชาธิปไตย มันต่างกันตรงไหนนี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเอามาคิด"นายกฯกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การที่มองว่าประเทศนั้นเขาทำได้ เพราะเขามีอำนาจถึงทำได้ แต่ตนมีอำนาจก็เหมือนไม่มี ตนไม่ต้องการอำนาจ แต่ต้องการความเข้าใจ ความร่วมมือ ที่พูดทุกวันหลายคนบอกว่าพูดเยอะ ซึ่งตนต้องการอธิบายให้ฟัง ต้องพูดตรงนี้ ไม่ได้พูดเพื่อให้อยู่ไปนานๆ ตนจะอยู่ถึงอายุ100 ปี หรืออย่างไร ที่นี่มีใครอายุ 100 ปีบ้าง หลายเรื่องเอามาพันกันจนมีปัญหาแต่มันไม่ใช่ สิ่งดีๆเรามีเยอะ ตนพูดให้ฟังไม่ได้บ่น ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ เพราะเห็นว่ามันยุ่งกันพออยู่แล้ว จะพูดอะไรก็เป็นเรื่องไปหมด
"ผมไม่ใช้ศัตรูของสื่อใดๆทั้งสิ้น จะรอดูพาดหัวว่ายังไง ผมไม่จำกัดความคิด แต่จะเขียนอะไรระวังนิด ไม่ใช่ระวังผม แต่ระวังประเทศชาติจะเกิดความวุ่นวายและมีปัญหา"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาของเราผูกรายได้ประเทศกับการส่งออก ตามมาคือเรื่องการท่องเที่ยว สัดส่วนที่สำคัญอีกอย่างคือ การใช้จ่ายภาครัฐ เราจึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมดคิดแบบเดิมไม่ได้ อาจเหมาะสมแค่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถึงวันนี้ต้องเปลี่ยน ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน ทั้งการค้าและอุตสาหกรรม ทั้งหมดเราต้องสร้างความเข้าใจในหลักการและวิธีการดำเนินการ ถ้าหลักการไม่เข้าใจก็จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อย หรือรัฐบาลมัวแต่แก้ปัญหาจากคำวิจารณ์ทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ จะอีรุงตุงนังไปหมด ทุกขั้นตอนมีรายละเอียดและกฎกติกา
"ผมก็กลัวติดคุกเหมือนกัน หรือใครไม่กลัวบ้าง ไม่มีหรอก ยกเว้นบางคนไม่กลัวก็มี ก็แล้วแต่ เพราะกฎหมายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้ในสังคม นั่นคือกฎหมายและความเท่าเทียม เพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ไม่ว่าจะผมหรือใคร ส่วนที่ว่าใครจะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ไปฟ้องร้องหรือฟื้นคดีขึ้นมา ถือเป็นช่องทางตามประชาธิปไตยอยู่แล้ว ถ้าจะคิดเอาเองก็เป็นแบบนี้ หลายอย่างก็จริง แต่หลายอย่างก็ไม่จริง หากจริงก็ต้องแก้ไข ก็แก้ได้ทั้งหมดให้ความเป็นธรรม ผมก็รื้อทุกอันมาให้ อย่ามองทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด ปัญหาบางอย่างมีไว้ให้แก้ มีไว้ให้ฟันฝ่าเป็นบทเรียน ประวัติศาสตร์มีไว้ให้เป็นบทเรียน เอามาศึกษาอะไรไม่ดีอย่าไปทำอีก บางประเทศที่เขาไม่ทะเลาะกันเพราะเขาเคยเผชิญหน้าแบบนี้มาแล้ว อย่างเช่นเรื่องของสงครามโลก สงครามเหนือใต้ตายเป็นล้านคน เขาไม่ต้องการให้เกิดอีก นั่นคือสิ่งที่เขาคิดแต่ของเราไม่เคยเจอแบบนี้ ผมก็หวังว่ามันจะไม่มีอยู่แล้ว แต่เราชอบรบกันด้วยความคิด รบกันด้วยโซเชียล ก็ต้องระมัดระวัง ขอให้เรียนรู้ว่าอะไรคืออะไร ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการทำงานที่ผ่านมาผมพยายามลงไปดู ไปจี้ ไปถาม และมีคำสั่งในกรอบของนายกรัฐมนตรี ผมไปลงรายละเอียดมากไม่ได้ ให้ข้าราชการทุกคนมีสิทธิ์คิด ผมและคณะทำงานก็มากลั่นกรองกันอีกครั้ง ถ้าใช่ก็ทำ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องหาวิธีการ ผมทำงานแบบนี้ไม่ใช่ทำส่งเดชไปเรื่อย ทำขนาดนี้ก็ยังมีหลุดรอดเหมือนกัน ก็ต้องมาแก้ไข เราทำงานด้วยคณะทำงาน ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมน ที่จะทำคนเดียว เศรษฐกิจก็มีคนคิดหลายคน มีทั้งฝ่ายกฎหมายฝ่ายทำงาน ผมต้องฟังทุกฝ่ายกฎระเบียบ สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างพื้นฐานของประเทศให้มีแบบแผนด้วยหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ไม่ใช่สอนให้คนจน แต่ให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามฐานะของตัวเอง มีเหตุผลเพียงพอต่อการใช้จ่าย"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดช่วงปาฐกถาของพล.อ.ประยุทธ์ ได้มีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด แม้บางจังหวะเจ้าตัวจะพยายามชี้แจงว่าไม่ได้บ่นแต่เป็นการเล่าสู่กันฟัง แต่สีหน้าก็ยังคงเคร่งเครียด ขณะเดียวกันในช่วงท้ายก่อนเดินลงจากเวทีพล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวอีกว่า อย่าไปพาดหัวข่าวว่านายกฯบ่น ตนเพียงแต่เล่าให้ฟังเท่านั้น
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |