ผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาค่อนข้างจะชัดเจนแล้ว 'โจ ไบเดน' กำลังจะเข้าวินนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐ ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกต่างก็ขานรับกับผู้นำคนใหม่ จนตลาดหุ้นปิดบวกกันเป็นทิวแถว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ นโยบายทางเศรษฐกิจของไบเดนจะออกมาอย่างไร ซึ่งหากวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจที่ 'ไบเดน' ใช้หาเสียงนั้นคือ เน้นการลดช่องว่างระหว่างคนจน คนรวย โดยเก็บภาษีคนรวยเพื่อนำมาสร้างงานให้กับชนชั้นกลาง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีมรดก, การขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือขึ้นภาษีนิติบุคคล เป็นต้น ทั้งหมดก็เป็นการยกระดับรายได้ของประชาชนในสหรัฐ
ซึ่งในประเด็นนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง มองในมุมบวก เพราะการที่รัฐบาลหันมาเพิ่มการเก็บภาษีและขึ้นค่าแรง จะทำให้ไทยได้ประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้นักลงทุนมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศในภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ต้องขอรอดูความชัดเจนของนโยบายของนายโจ ไบเดน อีกครั้ง
ขณะที่นโยบายด้านพลังงาน นายไบเดนก็ประกาศว่าจะทุ่มงบกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ ลุยพลังงานสะอาด ซึ่งในมุมมองของผู้ที่อยู่ในธุรกิจด้านพลังงาน อย่างนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) ก็ระบุว่า การเข้ามาของไบเดนจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะมีนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนมากกว่าพลังงานจากฟอสซิล อาจทำให้การผลิตน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิสจากสหรัฐออกมาน้อยลงด้วย จะเป็นผลดีต่อทิศทางราคาที่จะปรับเข้าสู่สมดุล
ส่วนด้านการค้าทางกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้ติดตามการเลือกตั้งของสหรัฐมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นคู่ค้าสำคัญ และมีมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็นอันดับ 4 ในช่วงปี 2562 รองจากอาเซียน จีน และญี่ปุ่น และในปี 2563 มูลค่าการค้าไทย-สหรัฐ เดือนมกราคมถึงกันยายน มีมูลค่า 1.16 ล้านล้านบาท ดังนั้นจากลำดับที่ 4 มาเป็นลำดับที่ 2 รองจากอาเซียนเลยทีเดียว ซึ่งทุกการเปลี่ยนแปลงของสหรัฐ ย่อมส่งผลต่อการค้าขายของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในมุมมองของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนั้น เรื่องที่ยังคงอยู่คือ 1.สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ แต่อาจผ่อนปรนลง 2.เรื่องอินโดแปซิฟิกของสหรัฐ กลุ่มประเทศมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิกของสหรัฐน่าจะยังอยู่ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอินโดแปซิฟิก 3.คาดว่าการใช้เงื่อนไขการให้ฝ่ายเดียวทางการค้าหรือสิทธิพิเศษทางการค้าของสหรัฐน่าจะยังคงอยู่ เช่น GSP หรือการจัดการกับการทุ่มตลาด และเซฟการ์ด แต่ขั้นตอนและรูปแบบอาจมีความผ่อนปรนมากขึ้น
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคไบเดนที่แตกต่างจากทรัมป์ก็คือ 1.คาดว่าสหรัฐจะให้ความสำคัญกับการเจรจาทางการค้าในรูปแบบพหุภาคีมากขึ้น เช่น ผ่านองค์การการค้าโลก (WTO) มากขึ้น และที่ต้องจับตาการกลับมาใช้ CPTPP โดยอาจเพิ่มการทำข้อตกลงทางการค้าใหม่ เช่น FTA กับประเทศต่างๆ และเงื่อนไขสิ่งแวดล้อม แรงงาน ทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิมนุษยชน มาเป็นเงื่อนไขต่อรองหรือเจรจาทางการค้ามากขึ้น ในภาพรวมคิดว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับภาพรวมของการค้าโลกที่ผ่อนปรนขึ้น ซึ่งประเทศไทยจะมีผลในทางบวกร่วมกันด้วย
ส่วนทางด้านตลาดเงิน ตลาดทุน นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ระบุว่า จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย เนื่องจากนโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ค่อนข้างเปิด Globalization มากขึ้น และท่าทีเกี่ยวกับการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนจะอ่อนโยนมากขึ้น ทำให้เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการค้าขายของโลก
จากนี้คงต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากนายไบเดนเข้ารับตำแหน่งแล้วจะขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างไร.
ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |