ปตท.ทุ่ม8หมื่นล้านลุยโรงงานผลิตแบตเตอรี่-รถยนต์ไฟฟ้า


เพิ่มเพื่อน    

9 พ.ย. 2563 นางอรวดี โพธิสาโร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์องค์กร บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าปตท.ตั้งเป้าใช้งบประมาณลงทุนเบื้องต้นในปี 64 มากกว่าระดับปกติที่มีการลงทุนประมาณปีละ 80,000 ล้านบาท เนื่องจากมีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อหาโอกาสในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง และมีแนวโน้มเติบโต เช่น การเข้าสู่ธุรกิจวิทยาศาสตร์ชีวภาพ

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการโรงงานผลิตยาในต่างประเทศ โซนเอเชีย คาดว่าจะสรุปได้ในปี 64 ขณะเดียวกัน ปตท.เตรียมเดินหน้าลงทุนในธุรกิจใหม่(นิว เอ็นเนอจี) จากปัจจุบันที่ร่วมทุนตั้งโรงงานผลิตยารักษามะเร็ง กับองค์การเภสัชกรรม ซึ่งจะครอบคลุมในธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้มากขึ้น เช่น การขนส่งโลจิสติกส์ สุขภาพ-อนามัย ดิจิทัลแพลตฟอร์ม สมาร์ทแพลตฟอร์ม ซึ่งจะต้องมีการทำร่วมกับพาทเนอร์เพื่อให้เกิดศักยภาพการลงทุนที่ดีที่สุด

นอกจากนี้จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีด้านพลังงาน เช่น กริด เน็ตเวิร์ค รวมถึงธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) และโรงงานแบตเตอรี่ต้นแบบ เพื่อต่อยอดตั้งโรงงานรถอีวีในอนาคตด้วย นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างหาผู้รับเหมาก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่(แห่งที่ 7) ในประเทศ เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซฯ แห่งที่ 1 คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 10,000  ล้านบาท เริ่มการก่อสร้างในปี 64 และก่อสร้างเสร็จในปี 66

ดังนั้น ปตท. จึงวางแผนเริ่มศึกษาในภาคอุตสาหกรรมแบตเตอรี่เพื่อใช้ในรถอีวีนอกเหนือจากการเดินหน้าทำสถานีประจุไฟฟ้า(ชาร์จจิ้ง สเตชั่น) ซึ่งต้องติดตามปริมาณการใช้รถอีวีในอนาคตว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับการลงทุน ขณะเดียวกันยังเตรียมจะศึกษาระบบกักเก็บพลังงาน(เอนเนอร์ยี่ สตอเรจ) โดยให้บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน)หรือจีพีเอสซี ดำเนินการศึกษาทั้งแนวโน้นตลาดและแนวทางการดำเนินงาน

นอกจากนี้ ปตท. ยังสนใจที่จะเข้าร่วมผลิตรถอีวี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันอุตสาหกรรมดังกล่าวให้เกิดขึ้นในประเทศไทย กระตุ้นให้เกิดการใช้และการลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตรถยนต์สันดาป และเป็นฐานการผลิตอันดับต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว ซึ่งการเข้าร่วมการผลิตรถอีวีนั้นจะใช้ปัจจัยส่วนนี้เพื่อผลักดันประเทศให้ไปสู่ศูนย์การผลิตได้ง่าย ทั้งนี้อยู่ระหว่างพิจารณาที่ต้องดูความชัดเจนของนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐเพิ่มเติม เนื่องจากปัจจุบันยังมีแต่เอกชนที่ทำการนำเข้าเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็ว ๆ นี้

“ทิศทางความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกคาดว่าจะลดลงในช่วงปี 2573 หรือในช่วง 10 ปีข้างหน้า แต่ ปตท. ยังมองว่าภาพรวมความต้องการใช้น้ำมันในประเทศยังมีอยู่ โดยคาดว่ายังมีความต้องการใช้ต่อเนื่องไปอีกหลังจากปี 73 ซึ่งยอมรับว่าที่สถานการณ์การใช้น้ำมันที่ลดลงเนื่องจากในอนาคตจะมีการใช้อีวีเพิ่มมากขึ้น เพราะราคาจะเทียบเท่ากับรถยนต์สันดาป รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่ให้ความสำคัญมากขึ้น”นางอรวดี กล่าว


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"