8 พ.ย. 2563 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang โดยเขียนข้อความว่า
เพิ่งไปขึ้นศาลมาครับคดีมาตรา 116 กับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
บางคนเห็นข่าวแล้วก็ถามว่าเป็นคดีใหม่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้หรือ ส่วนคนที่เคยได้ข่าวมาก่อนแล้วก็ถามว่าโอ้ ! ยังไม่จบอีกหรือ ตั้งนานมาแล้วนี่
ก็เลยจะขอถือโอกาสนี้เล่าให้ฟังสักหน่อยครับ
คดีนี้เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภา 2557 เพียงไม่กี่วัน
มีการออกคำสั่งให้บุคคลไปรายงานตัวต่อคสช. ผมไม่ไปรายงานตัว เมื่อซ่อนตัวอยู่หลายวันก็คิดว่าจะหลบอยู่ใต้ดินไปเรื่อยๆคงจะไม่ได้ ไม่เป็นประโยชน์อะไร จึงตัดสินใจที่จะไปให้เขาจับและสู้คดีต่อไป
ผมเลือกที่จะไปให้ทหารจับที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศโดยนัดหมายไปแถลงข่าวที่นั่น สาระที่ไปแถลงข่าวก็คือการชี้แจงว่าผมไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร สาเหตุที่ผมไม่ไปรายงานตัว ผมยืนยันว่าจะต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ขอให้พี่น้องประชาชนอดทนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยสันติวิธี
หลังจากแถลงข่าวจบ ผมมาตอบคำถามผู้สื่อข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็มีทหารชุดหนึ่งเข้ามาเชิญตัวไปซึ่งผมก็ยินยอมไปด้วยโดยดีเพราะตั้งใจมาให้เขาจับอยู่แล้ว
ทหารชุดนี้นำตัวผมไปส่งที่สน. ลุมพินีเพื่อจะให้ตำรวจตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งให้ไปรายงานตัว แต่ว่าหารือกันไปสักพักหนึ่ง นายทหารที่เป็นผู้ดูแลการดำเนินการกับผมก็มาบอกว่า วันนี้คงจะไม่มีการตั้งข้อหาที่สน. ลุมพินีนี้แล้วเนื่องจากว่ากรณีฝ่าฝืนคำสั่งคสช. ของผมเกิดขึ้นก่อนที่จะที่คสช. จะมีคำสั่งให้คดีเกี่ยวกับความมั่นคงไปขึ้นศาลทหาร จึงจะนำตัวผมไปที่อื่นก่อน ผู้บังคับบัญชาให้แนวทางมาว่าจะต้องคิดหาทางตั้งข้อหาอื่นเพื่อที่จะสามารถส่งตัวผมไปขึ้นศาลทหารให้ได้เสียก่อนค่อยเอาตัวผมไปส่งตำรวจในวันต่อๆไป
หลังจากนั้นผมถูกเอาตัวขึ้นรถทหาร คลุมหัวปิดตาเดินทางไปประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วเอาผมไปขังไว้ในบ้านหลังหนึ่งในค่ายทหาร วันรุ่งขึ้นทหารชุดนี้จึงได้นำตัวผมมาส่งที่กองปราบเพื่อให้ตั้งข้อหาตามมาตรา 116 แล้วนำตัวผมไปฝากขังที่ศาลทหาร ศาลทหารสั่งขังและไม่ให้ประกันตัว ผมจึงถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
คดีของผมเป็นคดีการเมืองที่ขึ้นศาลทหารเป็นคดีแรกหลังการรัฐประหาร
ในระหว่างที่ถูกขังอยู่มีการตั้งข้อหาเพิ่มเติมคือการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ผมถูกดำเนินคดีในศาลทหารในทั้งสามข้อหาคือ 1.ฝ่าฝืนคำสั่งคสช. ที่ให้บุคคลมารายงานตัว 2.ข้อหาตามมาตรา 116 และ 3.ข้อหาฝ่าฝืนพรบ.คอมพิวเตอร์ โดยเป็นการดำเนินคดีในศาลทหารชั้นเดียวไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา
ต่อมาผมได้ต่อสู้ว่าศาลทหารไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาคดีผมโต้แย้งกันอยู่หลายเดือนจนในที่สุดมีข้อสรุปว่าศาลทหารไม่มีอำนาจพิจารณาคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคสช. แต่มีอำนาจพิจารณาคดีในอีกสองข้อหาที่เหลือ
ผมสู้คดีในศาลทหารติดต่อกันมาเป็นเวลาเกือบ 6 ปี สืบพยานไปได้ 2-3 ปากเท่านั้น
เมื่อจะมีการเลือกตั้งจึงได้มีการโอนคดีในศาลทหารไปยังศาลยุติธรรม ผมจึงมาสู้คดีในศาลอาญา
ในสองวันที่ผ่านมามีการสืบพยานไปอีกหนึ่งปาก หลังจากนั้นก็มีการหารือกันเพื่อที่จะกำหนดนัดหมายพยานที่เหลือให้มาสืบพยานต่อไป ผลปรากฏว่ามีการลดพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยลงให้เหลือเท่าที่จำเป็นจริงๆ คาดว่าการสืบพยานคงจะแล้วเสร็จได้ในเดือนนี้และศาลแจ้งว่าตั้งใจจะอ่านคำพิพากษาคำพิพากษาได้ในเดือนธันวาคมที่จะถึง
หลังจากที่ต้องอยู่กับคดีนี้มา 6 ปีกว่า ผมมีประสบการณ์อย่างไร เห็นปัญหาอะไรและอยากจะเสนออะไร เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |