นักศึกษากลุ่มหนึ่งออกมาร้องเรียนว่าเขาไม่สามารถหาที่ฝึกงานได้ ทั้งนี้เพราะผู้บริหารองค์กรไม่พอใจที่พวกเขาคิดต่างทางการเมือง ความคิดเห็นแบบนี้น่าจะไม่ถูกต้อง น้องๆ ทั้งหลายอย่าเข้าใจผิด และอย่ากล่าวหาว่าผู้บริหารองค์กรเขาตัดสินใจแบบคนใจแคบที่ไม่ยอมรับฟังคนที่คิดต่าง แต่แท้จริงแล้ว น่าจะมีผู้บริหารหลายคนที่เขาไม่รับนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมปลดแอกหรือแสดงท่าทีทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่เพราะน้องๆ คิดต่างทางการเมือง แต่เขาไม่รับคุณเพราะสิ่งที่น้องๆ แสดงออกทำให้เขารู้ว่า
1.น้องๆ ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี
2.น้องๆ ไม่เคารพกฎกติกาใดๆ
3.น้องๆ ไม่มีข้อมูลมากพอที่จะคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุและผล
4.น้องๆ ไม่มีความกตัญญูต่อแผ่นดินที่เป็นมาตุภูมิ
5.น้องๆ ไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติและดูถูกผู้ใหญ่ที่อาวุโสกว่า
6.น้องๆ มีท่าทียโสโอหัง อวดดีว่าคุณรู้ดีกว่าผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์
7.น้องๆ เรียกร้องความมีเสรีภาพจนน่าเป็นห่วงว่าคนจะไม่ทำตามระเบียบและข้อกำหนดต่างๆ ของบริษัท และอาจจะชักชวนคนอื่นด้วย
8.น้องเชื่อคนที่คนชอบง่ายเกินไป ไม่หาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนที่จะกำหนดทัศนคติ ท่าทีและพฤติกรรมของตนเอง
9.น้องๆ เป็นคนหยาบคาย เวลาไม่พอใจอะไร น้องๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่น้องๆ จะด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย และมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศ (แสดงว่าคงหมกมุ่นมาก)
น้องๆ จะชอบหรือไม่ชอบรัฐบาลไม่ใช่สาเหตุ น้องๆ จะชอบหรือไม่ชอบพลเอกประยุทธ์ไม่ใช่สาเหตุ แต่การเป็นคนไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่มีความกตัญญู ไม่รู้รากเหง้าความเป็นไทยต่างหากที่เขาไม่รับน้องๆ เข้าไปเป็นตัวปัญหาในองค์กร อยากจะบอกว่า ต่อไปนี้น้องๆ คงต้องก้มหน้ารับกรรมจากการกระทำของตนแล้วนะ ที่ผ่านมากน้องๆ มักจะแสดงตนว่าเป็นคนเก่งที่รู้ดีทุกอย่าง รู้มากกว่าผู้ใหญ่ที่รวมทั้งพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า รวมทั้งมีวิจารณญาณในการแยกแยะผิดชอบชั่วดี แต่น้องๆ ก็เรียกพวกเขาว่าไดโนเสาร์ ไล่ให้พวกเขาไปตาย เขี่ยเขาให้ไปห่างๆ ไปให้พ้นจากการวางอนาคตไว้ให้ลูกหลานด้วยความรักและความห่วงใย
ใครจะเตือนอย่างไรน้องๆ ก็ไม่ฟัง แต่น้องกลับไปเชื่อวาทกรรมของคนที่พยายามบิดเบือนให้กฎหมาย กฎระเบียบ และกฎกติกามารยาทการอยู่ร่วมกันในประเทศ ในสังคม ในสถานศึกษา และในบ้านว่าเป็น “แอก” ที่จะต้องปลดออกไปให้พ้นๆ แล้วเราจะอยู่กันอย่างมีระเบียบและความสงบสุขได้อย่างไร น้องๆ ไปหลงเชื่อคนที่ปลุกปั่นให้น้องเรียกหาประชาธิปไตยเพื่อให้มีเสรีภาพ ทั้งๆ ที่เวลานี้พวกเราคนไทยจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีใครใช้อำนาจเผด็จการมาปิดกั้นเสรีภาพหรือมาละเมิดสิทธิของพวกเราแต่อย่างใด เรื่องการจะไว้ผมแบบไหน แต่งเครื่องแบบอะไร หรือการถูกลงโทษที่ไม่เหมาะสมจากครูบางคน ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตราว่าเป็น “เผด็จการของผู้นำรัฐบาล” แต่อย่างใดเลย มันเป็นเรื่องที่จัดการได้ในแต่ละที่ และกฎระเบียบของพ่อแม่ที่ทำให้น้องอึดอัดก็ไม่น่าจะต้องสร้างวาทกรรมด่าว่ารัฐบาลเป็น “เผด็จการ” อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ น้องๆ ต้องหัดคิด วิเคราะห์ แยกแยะให้ดีกว่านี้ น้องๆ จึงจะมีคุณสมบัติเป็นพนักงานที่ดีสำหรับองค์กรที่น้องต้องการให้งานหรือต้องการทำงานด้วย
ทุกองค์กรย่อมมีเสรีภาพในการกำหนดคุณสมบัติของคนที่จะรับเข้ามาทำงานด้วย ทั้งความรู้ ทักษะ ค่านิยม ทัศนคติ บุคลิกภาพ ที่สอดคล้องกับนโยบายและวัฒนธรรมขององค์กร ดังนั้นเมื่อเขาพิจารณาแล้วว่าน้องมีทัศนคติ ค่านิยม และบุคลิกในการแสดงออกไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและนโยบายขององค์กร เขาก็ไม่รับน้องๆ เข้าไปทำงานด้วย มันไม่ใช่การ “เลือกปฏิบัติ” แต่มันเป็นการ “เลือกพนักงาน” ที่เขาต้องการจะรับเข้ามาทำงานด้วย และหวังว่าพนักงานที่เขาเลือกนั้นจะสามารถมาสร้างความรุ่งเรืองให้กับองค์กรได้ด้วยความรู้ ทักษะ และที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็น “ทัศนคติ” ที่เป็นหางเสือในการกำหนดทิศทางของพฤติกรรม น้องๆ คงจะไปบังคับให้องค์กรใดเขารับน้องเข้าฝึกงานหรือเข้าทำงานด้วยไม่ได้หรอกนะ เพราะถ้าหากน้องๆ ทำเช่นนั้นก็หมายความว่าน้องๆ กำลังบังคับผู้บริหารองค์กร น้องๆ กำลังละเมิดสิทธิ์ในการพิจารณาของผู้บริหารองค์กร หากเป็นเช่นนี้แล้ว มันจะเป็นประชาธิปไตยตามที่น้องๆ ต้องการหรือเปล่าล่ะ คิดสิคะ ถ้าหากเขาไม่รับทำงานด้วย อย่าหาว่าเขาแกล้ง หรือเขาเลือกปฏิบัติล่ะ เขามีสิทธิเสรีภาพในการจะให้งานใครหรือไม่ให้งานใครนะคะ
เราจะห้ามผู้บริหารไม่ให้คิดวิเคราะห์แยกแยะไม่ได้หรอกนะ คงไม่ผิดนะถ้าหากผู้บริหารองค์กรจะคิดว่า “ขนาดชาติคุณยังชัง กษัตริย์คุณยังจาบจ้วง ความเป็นไทยคุณยังดูถูก พ่อแม่และครูคุณยังไม่กตัญญู แล้วคุณจะภักดีกับองค์กรได้อย่างไร คุณจะไม่เล่นงานผู้บริหารที่ทำสิ่งที่ไม่ถูกใจคุณหรอกหรือ” อยากจะบอกกับน้องๆ ว่า ประวัติศาสตร์ลบไม่ได้นะจ๊ะ น้องๆ ผู้ใฝ่หาประชาธิปไตยด้วยพฤติกรรมและวาจาที่มองเห็นเป็นประจักษ์อยู่ในเวลานี้ หากไม่มีงานทำ มันคือผลแห่งการกระทำในอดีตของตนเองนะจ๊ะ และการเรียกร้องสวัสดิการโน่นนี่นั่นในการฝึกงานนั้น ขอบอกว่า “เขารับมาฝึกงานเพื่อให้ครบเงื่อนไขการจบการศึกษาก็บุญแล้ว ยังจะเรียกร้องโน่นนี่นั่นอีก มันเยอะเกินไปนะคะ” อย่าเรียกร้องเอาทุกอย่างตามใจตัวเองแบบนี้เลยจ้ะ
น้องๆ ต้องตระหนักรู้ว่าเสาหลักที่เป็นความมั่นคงของประเทศคือ 3 สถาบัน ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราจึงต้องรักชาติ ยึดมั่นหลักธรรมของศาสนา (ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม) และจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ หากใครทำเช่นนี้ไม่ได้ ก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนไทยที่รักชาติ และภูมิใจในความเป็นคนไทย หากไปสมัครงานกับองค์กรที่ผู้บริหารจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เขาก็คงจะไม่รับ ถ้าหากเขาไม่รับ อย่าหาว่าเขาแกล้ง หรือเขาเลือกปฏิบัติล่ะ เขามีสิทธิเสรีภาพในการจะให้งานใครหรือไม่ให้งานใครนะคะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |