เมื่อสัปดาห์ก่อนเห็นภาพผู้นำสองเกาหลี จับมือทักทาย และต่างเชิญชวนให้ข้ามเขตแดนซึ่งกันและกัน
เป็นภาพที่บรรยายความรู้สึกไม่ถูก เพียงแต่รู้สึก "โล่ง เบา" ในใจ อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณที่เห็นความสงบสุขเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการปลดนิวเคลียร์พ้นคาบสมุทรเกาหลี
แน่นอนหากติดตามความเห็นจากบรรดานานาประเทศทั่วโลก ต่างก็ร่วมแสดงความยินดีกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แม้จะมีบางส่วนที่ยังไม่วางใจนัก เนื่องเพราะเกาหลีเหนือเคยมีประวัติฉีกข้อตกลงสันติภาพมาก่อน ทำให้นานาชาติยังอยู่ในอาการแบบดีใจไม่สุด และเฝ้าจับตาอยู่ห่างๆ
อย่างไรก็ดี ภาพที่ออกมาก็สร้างความรู้สึกในเชิงบวกและผ่อนคลายลงมาก หลังจากมีความตึงเครียดมานานหลายปี นับตั้งแต่ผู้นำคิม จองอึน ขึ้นบริหารประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งเมื่อความตึงเครียดลดลงก็ย่อมจะเกิดสิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาแทน และคาดว่าภูมิภาคเอเชีย ภูมิภาคอาเซียน ก็จะได้รับอานิสงส์ในสิ่งดีๆ ไปด้วย เพราะเมื่อเกิดความสงบสุข วิถีชีวิตของคน และความมั่นใจในหลายๆ เรื่องก็จะเกิดขึ้นตามมา การค้าการลงทุนก็จะคับคั่ง
สำหรับประเทศไทยเอง พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เล่าถึงท่าทีในที่ประชุมสุดยอดอาเซียนต่อความสัมพันธ์เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ซึ่งภาพการจับมือระหว่าง 2 ผู้นำเกาหลี ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ผู้นำอาเซียน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีของไทยอยากเห็นมานานแล้ว เพราะถือเป็นการหาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธี และที่ผ่านมาอาเซียนได้สนับสนุนมาโดยตลอด ดังนั้นการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการของผู้นำอาเซียนจะมีการแสดงความยินดี และความปรารถนาที่จะให้บรรยากาศแบบนี้มีไปอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นในทิศทางบวก เป็นประโยชน์ทั้งในภูมิภาคและเป็นประโยชน์ต่อโลกด้วย
“บรรยากาศในคาบสมุทรเกาหลีที่ลดความตึงเครียดลง จะส่งผลถึงเสถียรภาพในภูมิภาค รวมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนที่มีความใกล้ชิดกับภูมิภาคเอเชียตะวันออก จึงถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการพลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ และยังเป็นการลดอุณหภูมิในภูมิภาคลง ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเศรษฐกิจอาเซียนโดยตรง อย่างไรก็ตาม หวังว่าหากการประชุมสุดยอดเกาหลีมีทิศทางที่ดี จะส่งผลให้อาเซียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเกาหลีในภาพรวมได้มากยิ่งขึ้น ตามความตั้งใจว่าจะสร้างความเชื่อมโยงกับทุกประเทศ และทุกภูมิภาค” พล.ท.วีรชนกล่าว
นั้นก็ชัดเจนว่าหากการเจรจายังคงเป็นไปทางที่ดีขึ้น และเกาหลีเหนือจะหันมาปฏิรูปประเทศ โดยใช้เศรษฐกิจเป็นตัวนำ เชื่อว่าโลกจะเกิดประเทศน่าลงทุนแห่งใหม่ ที่มีนักลงทุนจับจ้องอย่างแน่นอน เนื่องเพราะค่าจ้างแรงงานยังไม่สูง คล้ายๆ กับในช่วงที่จีนหรือเมียนมาเปิดประเทศ ซึ่งบรรดานักลงทุน ต่างก็อยากจะเข้าไป
ส่วนเนื้อหาจะไปไกลถึงขั้นประกาศรวมประเทศหรือไม่ มองว่าประเด็นนี้น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะตอนนี้ประชากรทั้งสองประเทศต่างก็มองกันเป็นคนละประเทศอยู่แล้ว การรวมกันน่าจะเพิ่มความซับซ้อนมากกว่า และคงต้องใช้เวลาในการปรับตัว เรียนรู้กันค่อนข้างนาน
แต่ย้อนกลับมาตั้งสมมติฐานว่า นานาชาติประกาศเลิกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแล้ว ทิศทางจะไปอย่างไร เชื่อว่าไทยเองก็คงจะไม่พลาดตลาดนี้เช่นกัน เพราะที่ผ่านมาไทยกับเกาหลีเหนือก็มีการค้าขายระหว่างกันมานานแล้ว และไทยเราก็ได้ดุลการค้าโดยตลอด โดยมูลค่าที่เคยเพิ่มสูงสุด คือ ในปี 2557 ที่มียอดส่งออกไปเกาหลีเหนือราวๆ 3,450 ล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมและส่งออกไป (ข้อมูลปี 60) อาทิ เฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วน รองเท้า เตาอบไมโครเวฟ ยาง และข้าวสาลี อาหารสำเร็จรูป
แม้จากนั้นยอดขายตกลง เพราะต้องทำตามมติสหประชาชาติ แต่หากมีมติปลดล็อกลงเมื่อไหร่ ก็ถือเป็นโอกาสของสินค้าไทยอีกครั้ง ที่เราจะมีคู่ค้าใหม่ และถ้าจินตนาการถึงเขาเปิดประเทศรับการลงทุน ก็จะเป็นอีกประเทศที่น่าสนใจ สำหรับการลงทุนเช่นกัน
อย่างไรก็ดี และยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อมีภาพที่ชื่นมื่นแบบนี้ เราก็ได้หวังมองไปในทิศทางที่เป็นบวก.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |