กัดไม่ปล่อย 'ส.ส.ก้าวไกล' จี้ 'พุทธิพงษ์' ตอมปมสั่งระงับออกอากาศ 4 สื่อออนไลน์


เพิ่มเพื่อน    

4 พ.ย.63 - นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน เเละการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมวาระพิจารณาศึกษากรณีการสั่งให้ตรวจสอบเเละให้ระงับการออกอากาศรายการเเละสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ วอยซ์ ทีวี (Voice TV) ประชาไท (Prachatai) The Reporters  และ THE STANDARD โดยเชิญนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม (DE) พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ  ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนสื่อมวลชนเข้าชี้แจงในกรณีดังกล่าว

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลมีความต้องการปิดกั้นสิทธิเเละเสรีภาพของสื่อมวลชน ในการแสดงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ชุมนุมที่ผ่านมา ส่งผลให้เห็นว่ารัฐและผู้มีอำนาจได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน คณะกรรมาธิการจึงอยากหารือเพื่อหาแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างภาครัฐกับสื่อมวลชนในการเสนอข่าวภายใต้ข้อจำกัดที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการปรับตัวต่อสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นบทเรียนในการรับมือต่อสถานการรณ์ในอนาคตต่อไป

พล.ต.ท จารุวัฒน์ กล่าวว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการออกคำสั่งที่ 4 เรื่องให้ตรวจสอบและระงับการออกอากาศรายการที่มีลักษณะยุยงหรือปลุกปั่นทางการเมือง เนื่องจากมีรายงานจากหน่วยข่าวกรองรายงานว่า สื่อ 5 สำนักเสนอข่าวในแนวทางที่สร้างความแตกแยก ปั่นป่วน 4 กรณีคือ ชักจูง วุ่นวาย แตกเเยก และเป็นข่าวลวง โดยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกคำสั่งตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม (DES ) ไปพิจารณาเนื้อหาว่า มีการนำเสนอในช่องและรายการใดที่เป็นการละเมิดกฎหมายหรือไม่ ขอให้ดำเนินการตามกระบวนการศาล กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการออกคำสั่งให้ตรวจสอบ แต่ไม่ใช่คำสั่งปิดสื่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ดำเนินตามการกฎหมายที่เกิดขึ้นจากการประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ขณะที่ นายเยี่ยมยุทธ สุทธิฉายา ตัวเเทนสื่อมวลชนจากประชาไท กล่าวว่า การกล่าวอ้างถึงกระบวนการรายงานของฝ่ายข่าวกรอง เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงก่อนดำเนินการหรือไม่ โดยหลักการเเล้วสื่อมวลชนจะมีองค์กรวิชาชีพสังกัด 6 วิชาชีพ ครอบคลุมสื่ออิสระ โดยอาจแบ่งแยกออกไปตามสายงาน หมายความว่าแต่ละสายงานสื่อมวลชนล้วนมีกฎหมายกำกับดูแลอยู่แล้ว จึงขอให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่า เนื้อหาที่ข่าวกรองระบุมีลักษณะอย่างไร เป็นการรายงานข้อเท็จจริงหรือบทวิเคราะห์ ขอให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงให้ชัดเจนว่า ความผิดที่มีคืออะไร รัฐต้องการให้ถอดเนื้อหาออกหรือต้องการให้หยุดเผยแพร่

ด้าน นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นอำนาจควบคุมดูแลการเผยแพร่ข่าวสารของสื่อมวลชนตามข้อ 4 ในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบ ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจได้ โดยให้ปลัดกระทรวง DE ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ต่อกรณีที่มีคำถามว่าการใช้อำนาจดังกล่าวขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น รัฐธรรมนูญมีหลายมาตรา ต้องดูให้ครบ ในสถานการณ์ปัจจุบันยังใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ยืนยันว่า เคารพสิทธิมนุษยชน ซึ่งรัฐบาลใช้อำนาจตามกระบวนการทางศาล ไม่ได้ใช้อำนาจของกระทรวง ในกรณีของ Voice TV มีหลักฐานยืนยันว่า ได้มีการกระทำความผิดที่ละเมิดต่อกฎหมายและก้าวล่วงสถาบัน ส่วนสำนักข่าวอื่นๆ ได้เตือนแล้วและมีการลบเนื้อหาในเบื้องต้นหรือหยุดเผยแพร่ แต่กรณีของ Voice TV ไม่ได้หยุดเผยแพร่ ยังคงดำเนินการต่อซึ่งขัดต่อคำสั่งภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งตามการดำเนินการของกระทรวง การประกาศว่าสื่อใดละเมิดต่อพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์จะกระทำก็ต่อเมื่อมีผู้ร้องทุกข์ ทุกครั้งที่ส่งเรื่องไปจะประกอบด้วยคำสั่งศาลทุกครั้ง ไม่มีการใช้อำนาจของกระทรวงในการดำเนินการ

ด้าน น.ส.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังแตกร้าว สถานการณ์แบ่งเป็น 2 ฝ่าย อย่างชัดเจน กรณีที่เกิดขึ้นมีคำถามว่าหน่วยงานรัฐอาจทำตามใบสั่งของผู้มีอำนาจจะมีการตรวจสอบอย่างไร และคณะกรรมการเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาจะทราบได้อย่างไรว่าดำเนินการอย่างโปร่งใส ยุติธรรมและเท่าเทียมกัน ในกรณีที่กล่าวหาว่า Voice TV ใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมนั้นจะพิจารณาอย่างไร เพราะหากติดตามสื่ออื่นๆ โดยเฉพาะสื่อเนชั่นก็จะพบการใช้ถ้อยคำที่มีความรุนแรง ยั่วยุ ปลุกปั่น บิดเบือนต่อผู้ชุมนุม บ่มเพาะความแตกแยกในสังคม จะเห็นได้ว่าเป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐานอย่างชัดเจน ปัจจุบันประชาชนในฐานะผู้ชมเองก็มีความตื่นรู้ ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดรอบด้าน ดังนั้น รัฐจะใช้ข้ออ้างเพื่อมาบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อปิดหูปิดตาประชาชนด้วยการปิดสื่อเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

ต่อกรณีนี้ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า รัฐจำเป็นต้องปกป้องสถาบัน กระทรวงต้องทำตามกฎหมาย หากมีการละเมิด คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจ ที่มีคำสั่งใช้ตามพระราชกำหนดการบริการราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งกรณีของ Voice tv พบว่ามีเนื้อหาในเชิงยุยงปลุกปั่นและก้าวล่วงสถาบันเกินความเป็นจริง แต่กรณีเนชั่น ไม่ได้มีการนำเสนอพาดพิงให้เกิดความแตกแยกหรือผิดกฎหมาย

“เราเคารพการตัดสินใจของบรรณาธิการ เพราะมีบุคคลที่รับผิดชอบและเสนอข่าว ในกรณี Voice TV เราดำเนินตามกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งให้ยกคำร้อง เราก็ไม่ได้ดำเนินการต่อ เราทำตามขั้นตอนของกฎหมาย กรณีที่เกิดขึ้นคือการดำเนินการในช่วงเฉพาะกิจภายใต้การประกาศพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเห็นด้วย หากคณะกรรมาธิการชุดนี้จะมีการจัดสัมนาเกี่ยวกับการปฏิบัติแนวทางของสื่อมวลชน ตามกรอบและแนวทางของกฎหมาย เพื่อสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทและเสรีภาพของสื่อมวลชน และเชื่อมั่นในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการตามกลไกของรัฐสภา”

ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งของการชี้แจง ตัวแทนจาก Voice TV ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อกรรมาธิการว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีลักษณะของการคุกคามสื่อ กรณี Voice TV เป็นการถูกถอดสัญญาณเคเบิ้ล ซึ่งผู้ให้บริการชี้แจงกับช่องว่า ได้ถูกกดดันจากผู้อำนาจโดยใช้ถ้อยคำว่า “อย่าไปคบกับโจร” จึงมองว่า กรณีแบบนี้เป็นการคุกคามสื่อและเป็นสิ่งที่เจอมาโดยตลอด จึงควรหาแนวทางการปฏิบัติเพื่อหาทางออกร่วมกันในอนาคต

ในช่วงท้าย นายปดิพัทธ์ สรุปว่า อยากให้มีเวทีสัมมนาเกิดขึ้น เพื่อให้สื่อมวลชนได้แสดงความคิดเห็นและช่วยกันวางกรอบแนวทางร่วมกับภาครัฐในการปฏิบัติงานสื่อมวลชนในอนาคต ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในช่วงใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือช่วงเวลาปกติ ภาครัฐควรมีการหารือกับสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ เพื่อวางแนวทางร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพสื่อมวลชน คณะกรรมาธิการจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้เวทีนี้เกิดประโยชน์จริงอย่างเป็นรูปธรรม


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"