ดูเหมือนแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จะมีทิศทางฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้การใช้ชีวิตเกือบกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะเหลือก็แต่เพียงมาตรการปิดเมือง ที่ขณะนี้ได้เริ่มการทดลองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มพิเศษจากต่างชาติเข้ามาบ้าง ส่วนสัญญาณเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ก็เริ่มคลายตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้าบ้าง
    ล่าสุด “สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง” ได้ออกมาปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2563 (จีดีพี) ล่าสุด ว่าจะขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น อยู่ที่ระดับ ติดลบ 7.7% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ติดลบ 8.2% ถึงติดลบ 7.2% ต่อปี ซึ่งดีขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจีดีพีจะติดลบสูงถึง 8.5% ต่อปี โดย สศค.ให้เหตุผลว่า หลักๆ ที่ทิศทางเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเริ่มเปิดประเทศ ส่งผลให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญก็เริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชีย เช่น จีน เวียดนาม ส่งผลให้ภาคการส่งออกสินค้าของไทยในปี 2563 จะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ติดลบ 7.8%
    นอกจากนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการสนับสนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินมาตรการอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าในส่วนนี้จะมีผลดีต่อภาพรวมการใช้จ่ายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 และจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของจีดีพีให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 0.54% โดยกระทรวงการคลังยืนยันว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาขณะนี้น่าจะเพียงพอดูแลเศรษฐกิจได้ยาวถึงสิ้นปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหากมีความจำเป็นจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มทันที
    ซึ่งก่อนหน้านี้ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.การคลัง ได้เคยออกมาเปรยๆ แล้วว่า ได้สั่งการให้ สศค.ไปศึกษาแนวทางการออกมาตรการเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่คลังได้ออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศไปแล้ว อย่างมาตรการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านค้า และมาตรการช้อปดีมีคืน ที่จะกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
    โดยแว่วๆ ว่า ของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณานั้น จะพุ่งเป้าหมายไปยังกลุ่มที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งตรงนี้เป็นคนละส่วนกับมาตรการช้อปดีมีคืน และโครงการคนละครึ่ง เบื้องต้นอาจจะเจาะกลุ่มผู้ว่างงาน ที่ปัจจุบันมีตัวเลขอยู่ราว 1 ล้านคนที่รัฐบาลต้องเร่งเข้าไปช่วยเหลือก่อน ส่วนเรื่องเงินที่จะนำมาใช้ดำเนินการในส่วนนี้ คาดว่าจะมาจาก พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท ที่ขณะนี้ยังเหลืออีกกว่า 5 แสนล้านบาทที่ยังไม่ได้มีการนำออกมาใช้ ส่วนรายละเอียดของของขวัญปีใหม่จากกระทรวงการคลังจะเป็นอย่างไร คงต้องรอติดตามกันต่อ
    ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามอง เรื่อง “ความวุ่นวายทางการเมือง” ว่าจะส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่นั้น สศค.ระบุว่า เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังคงเดินหน้าได้ตามปกติ แม้จะมีกิจการ ร้านค้าบางส่วนปิดทำการบ้าง แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น อีกทั้งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงจุดยืน ซึ่งเป็นการตอกย้ำความชัดเจนทางการเมือง ทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะยังเดินหน้าได้ตามปกติ
    สอดคล้องกับ “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” ที่มองว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/2563 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ที่ขยายตัวติดลบสูงถึง 12.2% โดยหลายฝ่ายมองว่าช่วงดังกล่าวถือเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทย โดยในไตรมาสที่ 3 นี้จะเริ่มเห็นการหดตัวของจีดีพีที่ลดลง และไม่ถึง 2 หลักอย่างแน่นอน แม้ว่าจะยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายส่วนหดตัวอยู่ แต่เป็นการหดตัวที่ลดลง โดยต้องจับตาดูต่อว่าแรงส่งนี้จะมีความต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปีหรือไม่ ซึ่ง ธปท.มองว่าหากไม่มีปัจจัยอะไรสะดุด ก็จะเริ่มเห็นภาพเศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัว แม้จะยังมีความเสี่ยงในด้านต่างๆ ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดก็ตาม
    อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามกันต่อว่าสุดท้ายแล้วจีดีพีในปี 2563 จะขยายตัวที่ระดับเท่าไหร่ โดยต้องยอมรับว่าผลกระทบจากมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของโควิด-19 ทั้งของไทยและต่างประเทศเป็นปัจจัยหลักที่เข้ามากดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและหลายประเทศในโลกอย่างมาก.

ครองขวัญ รอดหมวน