31 ต.ค.63 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk ว่า เพจไทยภักดี นัดชุมนุมที่สวนลุมพินี ใช้ข้อความว่า "ล้าง รธน.เท่ากับล้มสถาบัน" ซึ่งเป็นตรรกะบ้าๆ และเป็นปัญหา โดยสิ่งที่น่ากลัวกว่าล้มเจ้าก็คือ พวกโหนเจ้า เพราะคนพวกนี้คำว่า "ล้มกับโหน" ไม่แตกต่างกัน
นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนการใช้คำว่า ล้าง รธน. เท่ากับล้มสถาบันนั้น เป็นความคิดแย่ที่สุด เพราะความจริงแล้วใน รธน.มาตรา 255 บัญญัติห้ามแก้ รธน.โดยเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อีกอย่าง ตนย้ำมาเสมอว่า การออกแบบการแก้ รธน.ฉบับนี้ เพื่อไม่ให้มีการแก้ไข แต่ต้องการให้คณะยึดอำนาจชุดใหม่เข้ามาฉีก รธน.ทิ้ง เนื่องจากถ้าผู้แต่งตั้งวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบแล้ว รธน.นี้ไม่มีวันแก้ไขได้เลย
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ หัวหน้า คสช.ตั้ง สว. แล้ว รธน.ยังให้อำนาจโหวตเลือกนายกฯ จึงเป็นการออกแบบเพื่อสืบทอดอำนาจ เพราะการแก้ รธน.ในวาระที่หนึ่งและสามนั้น นอกจากจากได้เสียงเกินครึ่งของรัฐสภาจำนวน 376 เสียงแล้ว ยังต้องมีเสียง สว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 84 เสียงจึงสำเร็จได้ แต่ถ้าได้เสียง สว.ไม่ถึง 84 เสียง แม้มีเสียงรัฐสภาเกินครึ่ง การแก้ไข รธน.ก็พังแล้ว
ดังนั้น การแก้ รธน.ตามมาตรา 256 ที่เสนอเลือก สสร. ซึ่งฝ่ายค้านกับรัฐบาลยังมีความแตกต่างกัน โดยฝ่ายรัฐบาลต้องการให้แต่งตั้งหรือสรรหา สว. 50 คน ส่วนฝ่ายค้านให้เลือกตั้งจากประชาชนทั้ง 200 คน ซึ่งถ้าต้องการแก้ รธน.แล้ว ไม่ควรคิดถึงการแต่งตั้งอีก ควรเริ่มด้วยบรรยากาศประชาธิปไตย
"ขณะนี้มีอดีตนักการเมืองหยิบฉวยเรื่องนี้มาปกป้องรัฐบาล ปกป้องบุคคล ขณะเดียวกัน ตัวเองไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน. ก็ต้องใช้เหตุผลอธิบาย ไม่ใช่มาบอกว่า การแก้ รธน.คือการล้มล้าง รธน. หรือล้มล้างเท่ากับเป็นการล้มสถาบัน ถ้าบ้านเมืองปล่อยปละละเลย ต่อไปคนจะฆ่ากัน"
นายจตุพร สงสัยว่า ถ้ามาบอกว่า การแก้ รธน.เท่ากับเป็นการล้มล้าง และโยงไปเป็นการล้มสถาบันแล้ว กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายในสภาวาระเร่งด่วนเรื่องแก้ รธน. รวมทั้งพรรครัฐบาลเสนอแก้ไขมาตรา 256 หมายความว่าไง และด้วยตรรกะแบบนี้เป็นการล้มสถาบันหรือ ซึ่งไม่ได้เป็นจริงอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม การแก้ รธน.ก็คือแก้ รธน. โดยผิดมาตรา 255 ไม่ได้ และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไม่ได้ ซึ่ง รธน.ได้ล็อตติดกันไว้กับมาตรา 256 แล้ว และเมื่อได้ สสร.ต้องไปฟังความเห็นจากประชาชน ยังมีการทำประชามติอีกขั้นตอนด้วย สิ่งนี้เป็นอำนาจแท้จริงในการแก้ รธน.
"คุณมาเขียนว่า ล้าง รธน.เท่ากับล้มสถาบัน มันมีที่ไหนตรรกะวิบัติแบบนี้ คุณจะนัดเรื่องอะไรก็ว่าไป คุณเป็นอดีตนักการเมืองก็ว่ากันไป แต่อย่ามาใช้วิธีแบบนี้ มันเป็นตรรกะใส่ร้ายที่เลวทรามที่สุด ใช่ไม่ได้จริงๆ"
อีกทั้งบรรยากาศในขณะนี้ การแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีเป็นเสรีภาพของพสกนิกรคนไทย แต่ต้องไม่มีลักษณะแบบการโหน หรือการนำสถาบันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง แล้วไว้ทำลายบุคคลอื่น ดังนั้น หากใช้ตรรกะแบบนี้ ย่อมหมายความว่า รัฐบาลชุดนี้ใช้ไม่ได้ เพราะได้แถลงนโยบายแก้ รธน.
"การคิดต่าง ถ้าทนความเห็นต่างไม่ได้ แสดงว่าไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่กรณีอันนี้ใช้ไม่ได้ มีพฤติการณ์ไม่แตกต่างจากการใส่เสื้อเหลือไปทุบตี ทำร้ายผู้คน ยิ่งสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์"
นายจตุพร กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤตบางๆนี้ แต่ละฝ่ายพยายามหาทางออกช่วยกัน แต่บรรดานักห้อย นักโหนทั้งหลาย จะต้องไม่มีพฤติกรรมแย่ๆด้วยตรรกะแบบนี้ ตนไม่เห็นด้วยกับตรรกะ “ล้าง รธน.เท่ากับล้มสถาบัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวล
นอกจากนี้ ตนพยายามพูดเตือนมาเสมอว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบันคือ คนไทยจะปะทะกันด้วยน้ำผึ้งหยดเดียวจนเกิดสงครามการเมือง บ้านแตกสาแหรกขาด แต่คนบางพวกกลับเอาตรรกะ แก้ รธน. มาเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ทำกันได้อย่างไร ใครเป็นคนคิดตรรกะแบบนี้ และการนัดหมายเช่นนี้จะนำพาไปสู่ความชิงชังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"นิสัยนักการเมืองไม่ว่ายุคใดสมัยใดเหมือนกัน เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ท้ายที่สุดไม่มีความดีและแข่งขันความดีไม่ได้ ก็เอาสถาบันมาปกป้องตัวเอง แล้วไว้ทำลายคนอื่น บางคนชั่วมาตลอดชีวิต แต่พอมาปกป้องสถาบันกลายเป็นคนดี แล้วชี้ฝ่ายตรงข้ามเป็นปฎิปักษ์ของตัวเองว่าเป็นคนล้มสถาบัน ตกรรกะแบบนี้คือการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง ซึ่งต้องพูดกัน เพราะพฤติกรรมการโหนมันน่ากลัว"
อีกอย่าง นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลไปออกโทรทัศน์ก่อนหน้า โดยระบุว่า เหตุที่ยังไม่แก้ไข รธน. ช่วงก่อนปิดสมัยประชุมสภานั้น เนื่องจากถ้าผ่านเรื่อง รธน.แล้วจะไปกระทบข้อเรียกร้องเรื่องสถาบัน ซึ่งเป็นการพูดที่เฮงซวย เป็นตรรกะที่ไม่รับผิดชอบต่อนโยบายของตัวเอง แต่กลับไปโยนความผิดให้สถาบันพระมหากษัตริย์
นายจตุพร กล่าวว่า หลักการสำคัญในวันนี้ และด้วยตรรกะวิบัติเช่นนี้ ตนจะปล่อยให้บ้านเมืองเดินต่อไปแบบนี้ไม่ได้ ประกอบสถานการณ์บ้านเมืองยังต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามมากมาย ทั้งภัยจากเผด็จการทางเศรษฐกิจ ที่สร้างสังคมเหลื่อล้ำ นอกจากนี้ ยังมีภัยมหาอำนาจรอโอกาสทำลายอีก
ดังนั้น ถ้าเราไม่ยกเครื่องประเทศไทยกันใหม่แล้ว เราจะเป็นประเทศต้องประสบชะตากรรมมากที่สุด เพราะเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ เดินต่อก็อาจมีโอกาสจะเกิดความสิ้นชาติได้ และคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องพูดกับประชาชน ไม่ควรปล่อยให้ไทยถูกนำพาเป็นหนูทดลองยาได้อีก
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |