31 ต.ค.63 - นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษาพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol โดยมีรายละเอียดดังนี้
เรื่องหลอกเด็ก (4)****
เรื่องสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่หลอกเด็กว่ารวยมาก แต่ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและยังโกงภาษี***
หลอกเด็กแบบนี้มาหลายปีแล้ว โดยไม่การชี้แจงความจริงให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
จึงทำให้ลูกเด็กเล็กๆ เข้าใจผิดแล้วพากันตำหนิติเตียน กระทั่งหลงนับถือเอามหาโจรเป็นพ่อ!!!
ความจริงที่ควรทราบและเข้าใจคือ
1.ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสืบเนื่องมานับพันปี ในระยะใกล้ก็ตั้งแต่สุโขทัยเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ บรรดารายได้ รายจ่ายแผ่นดินทั้งหมด และทรัพย์สมบัติของแผ่นดินทั้งหมด เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน ที่จะทรงจับจ่ายใช้สอยประการใดก็ได้สุดแท้แต่พระราชอัธยาศัย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันทั่วโลก
2.ในรัชกาลที่ 5 ทรงมีน้ำพระทัยลึกที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจึงทรงดำเนินพระบรมราโชบายหลายประการเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงนั้น ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือการแยก รายได้ รายจ่าย และสมบัติของแผ่นดินออกเป็นต่างหากจากของสถาบันพระมหากษัตริย์
ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็คือยกทรัพย์สมบัติของพระมหากษัตริย์เกือบทั้งหมดให้แก่รัฐเพื่อประโยชน์ของพสกนิกร แล้วตั้งสำนักงานพระคลังข้างที่ขึ้นดูแลรับผิดชอบ ต่อมาก็ปฏิรูปเป็นหอรัษฎากรพิพัฒน์ และเป็นกระทรวงการคลังในปัจจุบันนี้!!!!
ส่วนของพระมหากษัตริย์ที่เหลืออยู่นั้นก็จำแนกออกเป็นอีกสองส่วน คือ
รายได้ รายจ่าย และทรัพย์สมบัติอันเป็นการส่วนพระองค์ เรียกว่าทรัพย์สินส่วนพระองค์อย่างหนึ่ง
และรายได้ รายจ่าย และสมบัติอันเป็นส่วนของสถาบันหรือพระบรมราชจักรีวงศ์หรือทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ อีกอย่างหนึ่ง
นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าแผ่นดินที่สุดแสนประเสริฐ ของชาวไทย ที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่ไหนในโลกทำเช่นนี้***
3.หลังคณะราษฎร์ยึดอำนาจการปกครองได้ยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นของรัฐ!!!
และต่อมาก็ได้ ตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของถือครองทรัพย์สมบัติส่วนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีคณะกรรมการ ที่มีรัฐมนตรีคลังเป็นประธาน ทำหน้าที่บริหารจัดการ
สำหรับทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ก็มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ดูแลรับผิดชอบ แต่อยู่ในอำนาจของนักการเมือง!!
รวมความก็คือนักการเมืองได้ยึดทรัพย์สมบัติของสถาบันพระมหากษัตริย์มาดูแลจัดการ ภายใต้กระทรวงการคลัง แล้วยังเขียนกฎหมายให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้บังคับบัญชาสำนักพระราชวัง คือเป็นผู้บังคับบัญชาของพระเจ้าแผ่นดิน****
4.คณะราษฎร์สายล้มเจ้าได้ปล้นสดมภ์เอาสมบัติดังกล่าวจำนวนมากไปแบ่งปันกันตามอำเภอใจ โดยวิธี
4.1 ให้สำนักงานทรัพย์สิน ซื้อที่ดินของพวกคณะราษฎร์หลายคน ในราคาแพงเกินจริง เป็นวิธีโกงแบบนักเลงโบราณ และโกงแบบนี้กันเป็นจำนวนมาก ชนิดที่เรียกว่าโกงได้โกงเอากันเลยทีเดียว และ
4.2 ใช้วิธีซื้อที่ดินที่มีคุณค่าราคาสูง ออกไปในราคาถูกๆ นี่เรียกว่าปล้นแบบนักวิชาการสักหน่อย และได้ใช้วิธีนี้ปล้นสมบัติล้ำค่าออกไปเป็นจำนวนมาก
ปล้นกันขนาดนี้หัวหน้าคณะราษฎร์ยังกล้าพูดในสภาว่า "สามารถทำได้โดยไม่เป็นความผิด"
คุณสนธิและคุณปานเทพกำลังกระชากหน้ากากวิธีปล้นของมหาโจรล้มเจ้าในคณะราษฎร์อยู่ในขณะนี้!!!!
4. หลังพวกมหาโจรปล้นสมบัติ ล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว ในเวลาต่อมานักการเมืองยังส่งพรรคพวกสมุนบริวารเข้าไปบริหารจัดการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ภายใต้กระทรวงการคลังกันอย่างสนุกสนานเป็นเวลาร่วม 80 ปี
และใช้วิธีให้พรรคพวกเช่าที่ดินราคาถูกๆเอาไปให้เช่าช่วงในราคาแพงสุดกู่ ขูดรีดราษฎรกันอย่างเพลิดเพลินอุรา
ในช่วงปลายรัชกาลที่ 9 พวกมหาโจรใส่เสื้อนอกบางคน ก็สร้างกลวิธีปล้นสะดมในรูปแบบที่เรียกว่าการแปรรูปบ้าง การร่วมทุนบ้าง เพื่อต่อท่อดูดสมบัติของพระมหากษัตริย์ออกไปอย่างแยบยล คือ"โกงแบบทันสมัยตามมาตรฐานสากล" แต่จะแยบยลขนาดไหนก็มีคนไทยรู้ทันเสมอ!!!!
เพราะเหตุนี้ขบวนการผูกขาดทางกฎหมายที่ร่วมขบวนการกันมานานจึงตีความเรื่องฐานะของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ละครั้งแตกต่างกันไปเป็นคนละเรื่อง!!!
บางครั้งตีความว่าเป็นหน่วยงานของรัฐบางครั้งก็ว่าไม่ใช่ เป็นต้น
จึงทำให้ขบวนการล้มเจ้า เอาไปใช้เป็นข้ออ้างลวงโลก จนสับสนอลหม่านขึ้น****
5.ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำนวนทั้งสิ้น 41,000 ไร่
นั้นได้จัดให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเช่าใช้ในราคาต่ำเพื่อประโยชน์ของราชการและประชาชนโดยตรงถึง 93% มีพื้นที่เชิงพาณิชย์เพียง 7% เท่านั้น และยังถูกเบียดเบียนเรื่อยมา
6.ความเดือดร้อนของราษฎรจากการเบียดเบียนทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์อื้อฉาวเรื่อยมา จนถึงปีพ.ศ.2560 และ 2561 รัฐบาลจึงได้ตรากฎหมายปรับปรุงระเบียบการบริหารทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใหม่ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน!
สรุปคือโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทั้งหมดไปสังกัดสำนักพระราชวัง ถวายคืนพระราชอำนาจในการจัดการตามพระราชอัธยาศัย ดังที่เคยเป็นมาก่อนที่จะถูกคณะราษฎร์ยึด ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็คือ คืนทรัพย์สมบัติที่ปล้นสถาบันพระมหากษัตริย์ กลับคืนแก่เจ้าของเดิมนั่นเอง****
ตามกฎหมายใหม่ที่ใช้บังคับเมื่อปี 2561 นั้นได้จำแนกทรัพย์สินออกเป็นสองประเภท คือ
ก.ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ คือทรัพย์สินของสถาบัน ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีอากรมาตั้งแต่ถูกคณะราษฎร์ยึดไป ใครจะว่าโกงไม่เสียภาษีก็ต้องไปว่าเอากับคณะราษฎร์โน่น
เมื่อกฎหมายใหม่ใช้บังคับแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็มีพระบรมราชโองการ ว่านับแต่นี้ไปต้องเสียภาษีอากรตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่หัว!!!
ข.ทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่ไหนแต่ไรมาก็อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีอากร ตามกฎหมายอยู่แล้ว
การกล่าวหาว่าโกงภาษีจึงเป็นการลวงโลก****
กฎหมายมีความชัดเจนอยู่อย่างนี้ยังจะหลอกเด็ก ให้กล่าวหาพระมหากษัตริย์ว่าโกงภาษีได้ลงคออีกหรือ??
7.การที่แกนนำม็อบเชิดชูนายทหารบางคนซึ่งเป็นคณะราษฎร์สายล้มเจ้า เป็นไอดอลแทนนายปรีดี พนมยงค์ จึงเป็นการหลอกให้เด็กยกย่องนับถือมหาโจรเป็นพ่อ!!!!
สักวันที่ความจริงปรากฏ ลูกเด็กเล็กๆของเราคงกลับมาสู่ความเป็นพสกนิกรที่ดีของแผ่นดิน
#เรามีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวกัน
เราต้องช่วยกันทำ ช่วยกันนำความสว่างให้ปรากฏขึ้นทั่วพระราชอาณาจักรนี้
ความมืดและเงาปีศาจนักล่าอาณานิคมก็จะสลายตัวไป!!!!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |