หลังจากประเทศไทยมีนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้โดยสารชาวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เนื่องจากต้องการเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้มาตรการสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ซึ่งวันนี้ภายในประเทศไม่มีการติดเชื้อ มีเพียงคนที่เดินทางกลับเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้นการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะคัดเลือกประเทศที่มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 เป็นมาตรฐาน และมีสถิติการติดเชื้อที่อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าประเทศไทย
นักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่รัฐบาลจะเปิดรับ จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบพำนักระยะยาว (Long Stay) และต่างชาติที่มีครอบครัวอยู่ในประเทศไทย โดยมาตรการคัดกรองก่อนเดินทางเข้ามาจะมีการตรวจหาเชื้อแบบใหม่ คือ การเจาะเลือด ซึ่งจะมีผลยืนยัน 100% จะมีความแม่นยำกว่าการตรวจหาเชื้อจากโพรงจมูก และเมื่อเดินทางถึงไทยจะตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้ง และมีการกักตัวในสถานที่กำหนดไม่น้อยกว่า 14 วัน ซึ่งเมื่อครบ 14 วัน และไม่พบเชื้อ จะผ่านการรับรอง และสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยได้
ที่ผ่านมายังมอบนโยบายให้ทาง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ไปดำเนินการเตรียมความพร้อมในการจัดเตรียมห้องแล็บและเครื่องมือในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอกับทุกท่าอากาศในความรับผิดชอบ ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, ภูเก็ต, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย และหาดใหญ่
ก่อนหน้านี้ รมว.คมนาคม ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้เสนอแนะว่า การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข ขณะเดียวกันต้องสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนว่าไม่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์นั้นพร้อมที่จะเป็นเกตเวย์ในการเป็นสถานที่กักตัว โดยเบื้องต้น ก.สาธารณสุขได้สอบถามความเห็นไปยังทุกจังหวัดแล้ว เพื่อสอบถามประชาชนในพื้นที่ว่ามีความเข้าใจและยอมรับหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ STV กลุ่มแรกเดินทางเข้าประเทศไทย เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 39 คน เดินทางมาโดยสายการบิน Spring Airlines เที่ยวบินที่ 9C8579 จากเมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) เวลา 17.10 น. ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวยังคงต้องผ่านกระบวนการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามมาตรการของรัฐเหมือนกับผู้โดยสารทั่วไป และต้องตกลงยินยอมกักตัวในห้องพักจำนวน 14 วัน (Alternative State Quarantine : ASQ)
และเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มที่ 2 ผู้โดยสารชาวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (STV) เดินทางมาจากเมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสายการบิน China Southern Airlines เที่ยวบินที่ CZ3081 ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) เรียบร้อยแล้ว สำหรับเที่ยวบินดังกล่าวมีผู้โดยสาร 279 คน แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวกลุ่ม STV 145 คน กลุ่มนักธุรกิจต่างชาติ 118 คน และคนไทย 16 คน แน่นอนว่าจากการตรวจสอบนั้น ไม่พบว่ามีนักท่องเที่ยวเป็นไข้ แต่ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด
และเพื่อความชัวร์ ในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ รมว.คมนาคมจะเดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อโควิด-19 (ห้องแล็บคัดกรองโรคโควิด) สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อพิจารณาว่ามีพื้นที่ อุปกรณ์เครื่องมือเพียงพอที่จะสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสาร กรณีที่รัฐบาลจะมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งระบบการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อนั้น ทราบผลโดยใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง
ดังนั้นเมื่อเปิดรับนักท่องเที่ยว รัฐบาลต้องเตรียมพร้อม ดูจากประเทศสิงคโปร์ ที่สามารถตรวจสอบได้ถึง 27,000 คนต่อวัน และจะขยายเป็น 40,000 คนต่อวัน ดังนั้นสุวรรณภูมิต้องดูว่า ช่วงปกติมีปริมาณผู้โดยสารจำนวนเท่าไร ขีดความสามารถของห้องแล็บในการตรวจหาเชื้อจะต้องเพียงพอกับผู้โดยสาร เช่น เคยมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 50,000 คนต่อวัน หรือ 100,000 คนต่อวัน จะต้องสามารถทดสอบตรวจเชื้อได้ ขณะที่ต้นทุนในการจัดทำห้องแล็บและอุปกรณ์ไม่น่าจะเพิ่มมากนัก.
กัลยา ยืนยง
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |