ไม่ออกเพื่อหนีปัญหา 'ประยุทธ์'ลั่นส่งท้าย2สภาถกแก้วิกฤติ-อย่าดึงต่างชาติจุ้น


เพิ่มเพื่อน    

     “วิษณุ” ยันรัฐบาลขานรับแนวคิดจุรินทร์ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ แต่เพื่อไทยบอกไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้ำธง “ประยุทธ์” ลาออกอย่ายุบสภา ยกพันท้ายนรสิงห์เทียบเคียง “บิ๊กตู่” เตือนสติทั่นผู้ทรงเกียรติลืมเหตุการณ์ปี 2557 แล้วหรือ “ถวิล” ชี้สถาบันไม่ใช่ปัญหาแต่คือไอ้โม่งที่เกาะหลังเด็ก ทนายวันชัยชงล้างโทษการเคลื่อนไหวในรอบ 10 ปีเหมือนนโยบาย 66/2523  ผงะ! วิสารควักมีดปอกผลไม้กรีดแขน 3 แผลหลังอภิปรายอัดนายกฯ ต้องเย็บ 9 เข็ม “สิระ-ปารีณา” ซัดสมน้ำหน้า "ประยุทธ์" ส่งท้ายลั่นจะทำหน้าที่จนกว่าไม่มีอะไรให้ทำ
     เมื่อวันอังคารที่ 27 ตุลาคม ถือเป็นวันสุดท้ายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ
     โดยในเวลา 10.05 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาถึงอาคารรัฐสภาเพื่อร่วมประชุมด้วยสีหน้าเรียบเฉย และปฏิเสธตอบคำถามถึงแนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อความปรองดองเพื่อแก้ปัญหาประเทศ เพียงกล่าวทักทายสื่อ "สวัสดีทุกคนนะจ๊ะ" 
     ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ตอบรับถึงการหารือผู้เกี่ยวข้องในการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ 7 ฝ่ายว่าใช่ ส่วนเรื่องการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ก็แล้วแต่จะเอาเร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี  
เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลไฟเขียวให้แก้ไขรัฐธรรมนูญใช่แล้วหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ใช่
     ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงข้อเสนอของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอตั้งคณะกรรมกรรมสมานฉันท์ฯ ว่า กำลังให้คณะทำงานศึกษาอยู่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งหากคณะกรรมการชุดนี้เข้ามาทำงาน ก็จะทำเฉพาะกรณีนี้      
     นายจุรินทร์ ในฐานะผู้เสนอเรื่องดังกล่าวกล่าวว่า เท่าที่ได้มีการพูดคุยกันกับฝ่ายต่างๆ ถือว่ามีสัญญาณที่ดี มีเสียงตอบรับพอสมควร ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลได้พูดคุยกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรคร่วมรัฐบาลอื่น มีสัญญาณตอบรับที่ดี และในวันเดียวกันนี้วิป 3 ฝ่ายจะหารือกัน ซึ่งถ้ารัฐสภามีความเห็นร่วมกันเชื่อว่าประธานรัฐสภาคงไปดำเนินการออกคำสั่ง หรือกำหนดรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม เพื่อให้รัฐสภาเป็นที่พึ่ง เป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ให้ประชาชนเห็นว่าสามารถหาทางออกร่วมกันให้ประเทศได้
     ขณะที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า ในการประชุมมีข้อเสนอดีๆ เยอะ แต่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ต้องมาคิดก่อนว่าจะแก้ปัญหาหรือเป็นทางออกได้จริงหรือไม่ เพราะบางข้อเสนอเคยใช้ได้ในอดีตกับสถานการณ์และบริบทนั้น แต่ในบริบทของวันนี้จะได้หรือไม่ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดนอกจากประธานสภาจะเชิญวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้านมาคุยกัน ควรเชิญตัวแทนประชาชนมาร่วมด้วย ต้องถามประชาชนว่าสมานฉันท์นี้เอาด้วยหรือไม่ ต้องมีวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน ครม. ส.ว. และภาคประชาชนมาร่วมด้วย
สมานฉันท์ไม่ใช่เรื่องใหม่
     “การตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยทำมาแล้ว แต่วันนี้จะทันการณ์หรือไม่ ที่สำคัญเราต้องสื่อให้เห็นถึงความจริงใจ ต้องไม่ทำให้คิดว่าเป็นการยื้อเวลา หรือเป็นการตั้งกันชนให้รัฐบาล เพราะถ้าประชาชนเข้าใจแบบนี้จะไม่เกิดประโยชน์ ถ้าตั้งแล้วประชาชนไม่ร่วมก็จะหมดความหมาย” นายสุทินกล่าว
เมื่อถามว่า การยุบสภาจะทำให้ปัญหาคลี่คลายได้หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า วันนี้ถ้ายุบสภารัฐธรรมนูญจะไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาจะไม่คลี่คลาย ต้องเลือกตั้งใหม่ภายใต้กติกาเดิม ปัญหาเดิมก็กลับมาอีก และรัฐบาลใหม่จะไม่ได้รับการยอมรับ วันนี้รากเหง้าปัญหาคือการสืบทอดอำนาจผ่านกติกาที่เขาเขียนขึ้นมาเอง
    และในเวลา 09.45 น. ได้เริ่มประชุม โดยช่วงเช้าเป็นการอภิปรายสลับกันของ ส.ส.ฝ่ายค้าน, ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. พรรคฝ่ายค้านยังคงโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ว่าเป็นต้นตอปัญหา ทั้งในเรื่องการใช้อำนาจ และเรียกร้องให้ลาออก ซึ่ง น.ส.มนพร เจริญศรี ส.ส.นครพนม พรรค พท. อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ควรเลิกอ้างได้แล้วว่าการปกป้องสถาบันต้องมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯเท่านั้น อย่าผูกขาดสถาบันไว้ฝ่ายเดียว โดยนึกถึงประวัติศาสตร์เรื่องพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งวันนั้นที่มีขบวนเสด็จฯ พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยให้ขบวนเสด็จฯ ผ่านโดยที่นายกฯ ไม่คิดถึงอันตรายที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เทียบเคียงได้กับพันท้ายนรสิงห์ พล.อ.ประยุทธ์ควรพิจารณาตัวเอง 
     จากนั้นเวลา 10.20 น. พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงกล่าวหากรณีแบ่งชนชั้นว่า ไม่เคยทำ มีแต่บอกว่าคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ต้องทำงานร่วมกัน การทำลายสถาบันครอบครัววันนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ลูกไม่เคารพพ่อแม่ ลูกศิษย์ไม่เคารพครูอาจารย์ เคยบอกแล้วว่าที่เข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่ออะไร ถามว่าหน้าที่ของตนเองจบหรือยัง ถ้ายังไม่จบก็ต้องทำให้มันจบ และยืนยันไม่ได้ต้องการรักษาอำนาจให้นานที่สุด
เตือนอย่าลืมปี 2557
     “ท่านไม่เคยพูดเรื่องยึดอำนาจรัฐประหาร แต่ไม่เคยพูดถึงเผด็จการรัฐสภาที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น แล้วรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ผมคิดว่าผมไม่ได้ไปก้าวล่วงเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ หลายท่านมองว่าผมไม่เป็นธรรมหรือปล่อยปละละเลย ผมคิดว่าผมต้องพูดวันนี้ ถ้าไม่พูดก็ไม่ได้ อย่าลืมว่าประวัติศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคต ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทุกชาติ ศาสนา เชื้อชาติ สัญชาติ อยู่ในประเทศไทยต้องรักประเทศไทย ผมบังคับท่านไม่ได้ แต่ต้องเป็นสิ่งที่ท่านต้องตอบแทนแผ่นดิน หลายอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเข้ามา ถามว่าลืมแล้วหรือยัง ท่านลืมแล้วทั้งหมด สมัยนั้นท่านทำอะไรกัน สิ่งที่เกิดขึ้นวุ่นวายที่ผ่านมา ท่านทำอะไรกันอยู่ การทุจริตที่มีหลักฐานชัดเจนเชิงประจักษ์ท่านลืมหมดแล้วหรือ ถ้าลืมก็กรุณาไปทบทวนใหม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 2557 และก่อนหน้านั้นหลายปีมาแล้วด้วย วันนี้ที่บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ทุกวันเพราะอะไร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
     ต่อมาเวลา 11.00 น. นายถวิล เปลี่ยนศรี ส.ว. อภิปรายถึงการชุมนุมว่า มีการล่วงละเมิดสถาบัน ทำให้ประเด็นนี้ยิ่งยุ่งยากซับซ้อนเพิ่มขึ้นทวีคูณ อยากเตือนไปถึงลูกหลาน น้องๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ขอให้ได้ทบทวน ขอให้ถือว่าเป็นคำเตือนของคนแก่คนหนึ่ง เข้าใจดีว่าคนหนุ่มสาวมีความสำคัญที่จะรับภาระจากคนรุ่นหลังอย่างพวกเราต่อไป แต่เสียงของพวกเขาสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับฟัง การแสดงออกควรเป็นไปตามกาลเทศะ และให้เกียรติกับคนรุ่นก่อนด้วย ท่านจะนับถือเลื่อมใสในสถาบันนี้หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่อยากเตือน คือท่านรื้อหรือทำลายเสาหลักของบ้านเมืองนี้ลงไม่ได้ อันตรายต่อชาติบ้านเมืองถึงขั้นสูงสุดทีเดียว 
     “ขอเรียนว่าศัตรูของคนรุ่นใหม่ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านต่อต้านอยู่ บ้านเมืองที่มีปัญหามากมาย ทั้งการโกงกิน ความล้าหลัง ไม่ใช่สถาบัน แต่เป็นเพราะนักการเมืองที่ไม่ดี ข้าราชการที่ทุจริต นายทุนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ขาดจิตสำนึก นั่นคือศัตรูที่แท้จริงของประเทศนี้ และเป็นศัตรูของพวกท่านด้วย สิ่งที่น่าเสียใจในครั้งนี้คือ นอกจากไม่รู้ว่าศัตรูเป็นใคร ยังไม่เอาใจใส่ว่าศัตรูของท่านเป็นอย่างไรแล้ว ยังไม่ทราบว่าคนไม่ดีเหล่านี้เกาะหลังท่านปลุกปั่นบงการอย่างขี้ขลาด พวกเขาหักหลังพวกท่านเข้าสู่คุกตะรางแล้วคอยตักตวงผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงของพวกท่านแบบจับปลาน้ำขุ่น ไม่มีความรับผิดชอบหรือสำนึกชั่วดีใดๆ เรื่องนี้อาจแสลงใจลูกๆ หลานๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่จำเป็นต้องพูด” นายถวิลกล่าว และว่า การปฏิรูปสถาบันที่เคลื่อนไหวอยู่ ถ้าทำด้วยความเกลียดหรือโกรธแค้นชิงชัง ทำไม่ได้ การทำการปฏิรูปสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องทำด้วยความรัก สุดท้ายขอประณามผู้ที่มีพฤติกรรมเป็นไอ้โม่ง หรืออีแอบที่เอาความคิดความเกลียดชังสถาบันปลูกฝังใส่ลงไปในความคิดของเด็กๆ ซึ่งเห็นมามากแล้วว่าการกระทำการแบบนี้ต้องพบกับอนาคตที่เลวร้ายอย่างไร นี่ไม่ใช่เป็นคำแช่ง แต่เป็นเพียงเรื่องที่อยากเรียนให้ทราบ
ก.ก.อัดบิ๊กตู่ตามคาด
     ต่อมาเวลา 11.18 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า เราไม่สามารถไล่คนที่เห็นต่างจากเราไปได้ รัฐบาลต้องรับฟังเสียงของคนคิดต่าง และเปิดโอกาสให้พูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะ ถ้าแต่ละฝ่ายได้มีการรับฟังอย่างเคารพ ก็จะทำให้มีพื้นที่และยอมรับกันมากขึ้น แต่รัฐบาลไม่รับฟังเสียงของประชาชน และยังปฏิเสธว่าตัวเองไม่เคยทำผิดอะไรเลย ปัญหาก็เลยลุกลาม แถมยังใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติ และที่ให้อภัยไม่ได้คือมีการสันนิษฐานว่าจะสร้างเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่นำมาสู่การสังหารหมู่ และเหตุการณ์เหล่านี้ก็เคยเกิดขึ้น เช่น ทุ่งสังหารราชประสงค์ ปี 2553 และยังหาคนกระทำผิดมารับผิดชอบไม่ได้ แต่ยังมีการผลิตซ้ำคำว่าชังชาติ ล้มเจ้า และสุดท้ายก็จะเป็นวงจรเดิมคือรัฐประหาร
     นายวิโรจน์กล่าวด้วยว่า การคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออก และขอให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลและเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เป็นอิสระจากกลไกของ คสช. มาขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตั้ง ส.ส.ร. จากนั้นจึงยุบสภาและคืนอำนาจให้ประชาชน 
     ภายหลังนายวิโรจน์กล่าวเปรียบเทียบเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 กับเหตุการณ์ทุ่งสังหาร ปี 2553 นายถวิลได้ลุกขึ้นประท้วง ซึ่งนายชวนระบุว่า ได้ทักท้วงไปแล้วว่าไม่ให้กล่าวถึงหน่วยงานในอดีตที่เข้ามาชี้แจงไม่ได้ และถ้าเรื่องที่เขากล่าวถึงไม่ได้เกี่ยวกับโดยตรงก็ไม่จำเป็นต้องชี้แจง แต่นายถวิลยืนยันขอชี้แจง ซึ่งก็ทำให้ ส.ส.พรรคก้าวไกลลุกขึ้นประท้วง รวมถึง ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย จนนายชวนวินิจฉัยว่า ถ้าเป็นการรื้อฟื้นเรื่องเดิม จะมีข้อเท็จจริงเกิดขึ้น เตือนนายวิโรจน์ไปแล้ว เมื่อกล่าวแล้วก็มีความเห็นไม่ตรงกัน อีกด้านมีสิทธิ์ที่จะชี้แจง
     ต่อมาในเวลา 11.50 น. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. อภิปรายว่า การชุมนุมที่มีข้อเสนอ 3 ข้อนั้น การเสนออะไรต้องดูที่เจตนา ดังนั้นอย่ามาดัดจริต การเคลื่อนไหวเป้าหมายคือการเปลี่ยนแปลงอะไร เราทราบกันดี ดังนั้นเราต้องวิเคราะห์เกิดจากอะไร มีโลกโซเชียลจาบจ้วงสถาบัน ถึงเวลาแล้ว เอาอำนาจอธิปไตยทางโซเชียลกลับมา รวมทั้งนักการเมืองใช้เรื่องนี้เข้าสู่อำนาจ  สร้างมวลชนเป้าหมายไม่ได้ต้องการเป็นนายกฯ แต่มีเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งไม่รังเกียจคนรุ่นใหม่ วันนี้มีนักการเมืองหยิบยื่นแนวคิดจะมีอนาคตใหม่ แต่อนาคตใหม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองก่อน 
     ทั้งนี้ การอภิปรายของนายชัยวุฒิ ทำให้ ส.ส.พรรคก้าวไกลประท้วงทั้งเรื่องการใส่ร้ายและให้ถอนคำพูด แต่นายชวนก็วินิจฉัยว่าสามารถอภิปรายได้ ซึ่งนายชัยวุฒิก็อภิปรายจนจบ
     ต่อมาเวลา 13.30 น. นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เสนอว่า ทางออกที่จะลดความขัดแย้งและความเสี่ยงที่จะเกิดหายนะต่อประเทศ คือทำประชามติถามคนไทยทั่วประเทศก่อนว่าคนไทยจะให้แก้รัฐธรรมนูญปี 2560 หรือไม่ และถ้าให้แก้ จะให้แก้รายมาตราก็พอ หรือจะให้แก้มาตรา 256 และให้ตั้ง ส.ส.ร.มาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จะให้แก้หมวด 1, 2 หรือไม่ ถ้าให้แก้จะให้แก้อำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งเมื่อมีผลประชามติออกมา รัฐสภาก็ดำเนินการตามนั้น 
ชงล้างโทษ 10 ปี
     ในเวลา 15.20 น. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรค ปชป. อภิปรายว่า ในทุกการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่มีครั้งไหนจบสวย ส่วนใหญ่จบลงด้วยการรัฐประหาร ไม่มีใครอยากเห็นจุดจบสู่รัฐประหารอีก ซึ่งข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เราต้องจริงจังในการหาวิธีการพูดคุยด้วยเหตุผล เพียงแต่บรรยากาศที่สร้างความหวาดระแวงอาจยังไม่ใช่เวลาที่พูดคุยเรื่องนี้ 
     ต่อมาเวลา 15.30 น. นายวันชัย สอนศิริ สมาชิก ส.ว. อภิปรายว่า ต้องยอมรับว่าความขัดแย้ง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ชัด แม้จะหายไป 5 ปีหลังรัฐประหาร แต่วันนี้กลับมาอีกแล้ว เป็นความขัดแย้งระหว่างรุ่นกับรุ่น ระหว่างใหม่กับเก่า ซึ่งการใช้กฎหมายและอำนาจไปต่อสู้กับความคิดทางการเมืองใช้ยากที่จะจบได้ ถ้าปล่อยไปแบบนี้ประเทศชาติย่อยยับแน่นอน จึงควรใช้หลักเมตตาธรรม ซึ่งคนที่จะทำให้ประเทศปรองดองได้คือ พล.อ.ประยุทธ์ 
     “ในสมัยสงครามคอมมิวนิสต์ จบได้เพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกคำสั่งที่ 66/23 ผมอยากให้นายกฯ ที่เป็นนักการเมืองที่มาจากนักการทหาร เร่งสร้างความปรองดอง ด้วยการล้างโทษของนักโทษทางการเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จะเป็นจุดหนึ่งที่จะสร้างเมตตาธรรม ช่วยทำให้ประเทศชาติเกิดความสงบขึ้นและความปรองดองได้ และบ้านเมืองก็จะเริ่มเดินหน้าได้ ด้วยนายกฯท่านนี้” นายวันชัยกล่าว
     ในเวลา 15.50 น. น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรค พท.อภิปรายว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ยังสงสัยว่าทำผิดอะไรถึงต้องลาออกนั้น เพราะ 1.พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่นักบริหาร แต่คือนักรัฐประหาร 2.พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่นักปรองดอง แต่เป็นนักไล่ล่า แล้วยังกล้าบอกให้ประชาชนถอยคนละก้าว และ 3.พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่นักปฏิรูป แต่เป็นนักปฏิเสธการปฏิรูป เพราะถึงวันนี้ยังไม่มีการปฏิรูปประเทศใดๆ เกิดขึ้น 
     ช่วงเย็นในการประชุม ส.ส.ฝ่ายค้านยังคงเน้นย้ำอภิปราย สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทั้งหลายมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ และเรียกร้องให้ลาออก และเมื่อเวลา 16.03 น. บรรดารัฐมนตรีก็เริ่มใช้สิทธิ์พาดพิงและอภิปราย ซึ่งมีทั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข 
    โดยหลังจากรัฐมนตรีลุกขึ้นชี้แจง นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรค พท. ได้อภิปรายประเด็นการชุมนุมของนักเรียน นิสิต และนักศึกษา เรียกร้องไม่ให้รัฐบาลใช้ความรุนแรง รวมทั้งอยากให้นายกฯ ลงมารับฟังปัญหาของเด็กๆ ด้วยตัวเอง มีหลายเรื่องอยากพูดและคิดแล้วว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เป็น ส.ส.มาตั้งแต่ปี 2529 รักสภา มิบังอาจที่จะทำอะไรให้สภามีอันเสื่อมเสีย แต่วันนี้คิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ไม่อยากให้เด็กๆ ต้องเลือดตกยางออก สิ่งที่เรียกร้องในวันนี้ อาจผิดข้อบังคับการประชุมสภา แต่ต้องทำ ขออนุญาตกรีดเลือดให้ พล.อ.ประยุทธ์เห็นว่า ตั้งใจจริงๆ และขออนุญาตประธานสภาฯ ให้เป็นตัวอย่างสุดท้ายอย่าให้มีอีก 3 แผลเอาไปเลย พล.อ.ประยุทธ์ ท่านจะเป็นทรราชหรือจะเป็นวีรบุรุษ 
อึ้ง!ควักมีดกรีดแขน
     หลังจากนายวิสารพูดจบได้ถอดสูทออกแล้วถกแขนเสื้อ ใช้มีดปอกผลไม้ที่เตรียมมากรีดไปที่ท้องแขนข้างซ้ายของตัวเอง 3 ครั้ง ท่ามกลางความตกใจของสมาชิกที่กำลังรับฟังการอภิปราย ขณะที่นายชวนได้กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้กรีดเลือด จากนั้นนายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม ขึ้นอภิปรายต่อได้ไม่นาน นายสมชาย แสวงการ ส.ว.ใช้สิทธิ์ลุกขึ้นหารือทันทีว่า ขอให้ประธานใช้ข้อบังคับข้อ 5 ให้ประธานพิจารณาว่าจะประชุมต่อหรือจะยุติการชุมนุม  ขณะที่นายชวนชี้แจงว่า การประชุมจะดำเนินต่อ ไม่มีเหตุให้ต้องยุติ ก็พยายามห้ามแล้ว ขอดำเนินการประชุมต่อ จากนั้นนายชวนได้ประสานให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแล และส่งตัวนายวิสารไปที่ รพ.วชิรพยาบาล
     นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พท. ที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์​ระบุว่า คาดว่านายวิสารไม่มีเจตนาทำเรื่องที่ขัดระเบียบสภา การกระทำแบบนี้สะท้อนถึงวิกฤติของชาติจริงๆ ถึงต้องตัดสินใจทำแบบนี้ ขอให้มองเป็นความห่วงใยและความตั้งใจจริงของท่าน ส่วนการกระทำอื่นใด ก็ให้เป็นไปตามกฎระเบียบไป
น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรค พท. ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างนายวิสารพอดี กล่าวว่า เห็นแล้วจะเป็นลม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ห้ามไม่ทันจริงๆ ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นเลย ทั้งนี้ นายวิสารได้พูดคุยตั้งแต่เช้า เล่าว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ รู้สึกเครียดและเสียใจกับเหตุการณ์ที่รัฐบาลใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม นายวิสารยังกังวลอยู่เลยว่าเลือดกำเดาจะไหลช่วงอภิปรายหรือเปล่าด้วย นอกจากนี้นายวิสารยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า ประกอบกับคิวการอภิปรายก็เลื่อนออกไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงเย็น โดยในช่วงที่นายวิสารอภิปรายถึงเรื่องที่รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับเยาวชน นายวิสารก็เริ่มมีอารมณ์จนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
ขณะที่นายสิระ​ เจนจาคะ​ ส.ส.กทม.​ พรรค พปชร. กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่​ ส.ส.คนนี้ได้กระทำในที่ประชุมอันทรงเกียรติ และพูดจาให้ร้าย​ พล.อ.ประยุทธ์​ เห็นท่านมาตั้งแต่ปี 2529 วันนี้รู้สึกผิดหวังและเสียใจกับการกระทำของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เป็นถึงอดีต รมช.พาณิชย์ วันนี้ท่านได้ทำความเสียหายกับสภาอย่างมาก ไม่คิดว่าผู้หลักผู้ใหญ่ท่านนี้จะพาอาวุธมีดเข้ามาทำเรื่องในห้องประชุมที่มาจากภาษีประชาชน วันนี้เรามาหาทางออกประเทศ​ ไม่ใช่มาก่อความวุ่นวายและทำผิดกฎหมาย ทำให้เหตุการณ์บานปลาย​ การประชุม 2 วันที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย​ แต่​ ส.ส.คนนี้กลับทำผิดกฎหมาย
     "ท่านต้องการอะไร ต้องการให้ประเทศไปไม่ได้ใช่หรือไม่ ผมไม่สงสาร สมน้ำหน้าด้วยครับ มาเล่นละครอย่างนี้ในห้องประชุมรัฐสภาได้อย่างไร ขอให้ประชาชนเชียงรายที่เลือก​ ส.ส.คนนี้เข้ามา​ ดูไว้ว่าเลือกมาเป็นตัวแทนของท่านได้อย่างไร จากนี้ก็ต้องมาดำเนินคดีกับ​ ส.ส.คนนี้ในข้อหาพกพาอาวุธเข้ามาในที่ประชุมรัฐสภา" นายสิระ​กล่าว
ปารีณาบี้ลาออก
     น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรค พปชร. กล่าวว่า ขอให้นายวิสารลาออกจาก ส.ส. เพราะเป็นการกระทำที่ขาดวุฒิภาวะ มีการเตรียมการและมีเจตนาตั้งใจกรีดแขนตัวเอง เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชนที่ทำร้ายร่างกายตัวเองถึงขั้นรุนแรง ทางออกประเทศไม่ได้ใช้ความรุนแรง วันนี้เป็นการอภิปรายพูดคุยกันเพื่อหาทางออกของประเทศ ไม่ใช่การทำร้ายร่างกายเช่นนี้ 
     "ดิฉันขอประณามการกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำที่รุนแรง รังเกียจมากๆ กับพฤติกรรมวันนี้ ต้องลาออกเท่านั้น อย่าได้กลับเข้ามาในสภาอีก เป็นการกระทำที่ทำให้ประเทศไทยกับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก และไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เว้นแต่ถ้าเขาไม่ใช่ลูกผู้ชายก็ไม่ต้องลาออก" น.ส.ปารีณากล่าว
     น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ อดีต ส.ส.เชียงราย พรรค พท. บุตรสาวนายวิสารกล่าวว่า รู้สึกงงๆ และตกใจ ตอนแรกไม่เชื่อว่าคุณพ่อจะทำอย่างนั้น ปกติคุณพ่อเป็นคนนิ่งๆ แต่ก็ทราบข่าวคุณพ่อได้รับการรักษาแล้ว โดยเย็บแผลรวม 9 เข็ม ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว เห็นจากบาดแผล คุณพ่อน่าจะอึดอัดใจมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดว่าขอให้เป็นเลือดหยดสุดท้าย 
     ขณะที่ในการประชุมสภา นายชวนได้แจ้งความคืบหน้าอาการนายวิสารให้สมาชิกฟังเป็นระยะๆ และระบุว่าจะเดินทางไปเยี่ยมที่ รพ. นำความห่วงใยของ ส.ส.ไปบอกต่อนายวิสาร
     จากนั้นเวลา 19.10 น. นายวิสารเดินทางกลับเข้ามาในสภาพร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ต้องขออภัย ตลอดระยะเวลาที่เล่นการเมืองมา ไม่มีครั้งไหนที่กดดัน จึงตั้งใจสื่อสารไปถึงนายกฯ อยากเตือนว่าอย่าไปฟังเสียงอวยอย่างเดียว มันเหมือนกับเป็นกะลาครอบจริงๆ จึงมานึกถึงตัวเองว่าเราควรต้องเรียกร้องอะไรสักอย่าง เพื่อให้ท่านสนใจ และลดตัวเองลง ซึ่งตัดสินใจด้วยตัวเอง แม้แต่ลูกเมียก็ไม่ทราบ  และมีดก็ไม่ได้พกเข้าไป แต่ไปยืมมีดปอกผลไม้จากแม่บ้าน เพียงแต่ย้ำว่าขอคมๆ หน่อย 
     “ถือว่า 9 เข็มนี้เป็นบทเรียนที่ไม่อยากให้เด็กๆ ลูกหลานเอาไปเป็นตัวอย่าง เพราะครั้งนี้ถือเป็นการประท้วง และยอมเจ็บตัวคนเดียว อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่สภาได้สะท้อนความเห็นออกไปเพื่อให้นายกฯ ได้มีสติตัดสินใจแก้ปัญหา”
     จากนั้นนายวิสารได้โชว์แผลให้สื่อมวลชนดู พร้อมระบุว่าแผลแรกไม่ลึก แผลที่สองเริ่มลึก แผลที่สามพอเห็นก็ตกใจ เพราะแผลเริ่มกว้าง ทั้งหมดเย็บ 9 เข็ม หลังจากนี้ต้องฉีดยากันบาดทะยักอีก 2 เดือน หลังจากนี้ก็จะขึ้นไปที่ห้องประชุมสภาเพื่อให้เพื่อนๆ สบายใจ ขอโทษขอโพย เพราะเดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นคนไม่เคารพสถานที่
     เวลา 19.20 น. ระหว่างนายวิสารยืนให้สัมภาษณ์กับสื่อมาลชน นายชวนซึ่งกำลังจะเดินทางไปเยี่ยมดูอาการได้เดินลงมาเจอนายวิสารพอดี ทำให้นายชวนยืนฟังนายวิสารให้สัมภาษณ์จนจบ  โดยนายวิสารได้เข้ามากราบขออภัยนายชวน ซึ่งนายชวนกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ห้ามแล้วว่าไม่ให้ทำ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีความเป็นห่วง ประชาธิปไตยเราต้องอดทน ปัญหาทั้งหลายต้องอดทนในการแก้ไข กว่าจะไปสู่ความสำเร็จไม่มีอะไรง่าย 
     และในเวลา 21.23 น. หลังนายสุทิน คลังแสง และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปทั้ง 2 ฝ่ายกล่าวสรุป พล.อ.ประยุทธ์ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า ขอพูดในฐานะนายกฯ และ รมว.กลาโหม หลายอย่างที่ฟังในสภา โดยเฉพาะผู้ไม่เห็นชอบ มักโจมตีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นการทำงานแบบของท่าน ก็รับได้ ยิ้มไปเรื่อย  ส่วนประเด็นที่กล่าวหาลาออกล้มเหลว หากย้อนไปปี 2549 และปี 2557 มีใครออกหรือเปล่า แล้วคนเหล่านั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน การชุมนุมนั้น ตนเองรักเด็ก เพราะเป็นพลังแผ่นดินในวันข้างหน้า แต่ควรชี้นำให้ถูกต้อง ยอมรับฟัง เพราะมีทั้งทำได้และทำไม่ได้ ไม่อยากให้ฟังฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น
     "ในฐานะ รมว.กลาโหม มีการติดตามข่าวในโซเชียล พบว่ามีการแพร่ข้อความในโทรศัพท์ มีคนโพสต์ครั้งแรก 200 คน และเพิ่มเป็น 5 หมื่นคนในแอคเคาต์เดิม ซึ่งมีเครือข่ายหรือเปล่าก็ขอให้ช่วยกันดูด้วย เป็นข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้" นายกฯ กล่าวก่อนขอบคุณสมาชิก และว่า จะนำแนวทางปฏิบัติให้เกิดความเป็นจริง ส่วนที่เป็นคำเตือนจะรับไว้พิจารณา เพราะเราต้องดูแลคน 60 ล้านคน ไม่ใช่ดูแลเฉพาะกลุ่ม
     "การชุมนุมผมไม่โทษเขา แต่ผมโทษว่ามีอะไรหรือเปล่าผมไม่ทราบ ใครรู้ก็บอกผม แต่สิ่งเหล่านี้จะกระทบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำลังจะดีขึ้นในช่วงปลายปี รวมทั้งยังส่งไปยังความแตกแยกในสถาบันครอบครัว คนรุ่นเก่าคนรุ่นใหม่ เราเคยมีครอบครัวเดียวกัน ไม่อยากให้ลืม โดยเฉพาะในโลกโซเชียล ที่มีการนำความคิดไปปรุงแต่ง ไม่คุ้มครับในการนำข้อมูลในประเทศไปแพร่ในต่างประเทศ ซึ่งก็รู้ว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีเบื้องหลัง เหตุการณ์ไม่เคยปรากฏในสภามาก่อน ให้ไปติดตาม"
     พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า การแสดงความคิดเห็นต้องไม่ไปลิดรอนความคิดของคนอื่น ทั้งเรื่องจารีตค่านิยม ความเชื่อ และต้องคำนึงคนส่วนใหญ่ เป็นหลักตามหลักประชาธิปไตย ส่วนการเจรจากับผู้ชุมนุมนั้น ก็ต้องไปหาว่าใครเป็นแกนนำ และหากไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ ก็ขอสงวนสิทธิ์ แล้วก็จะขอดูว่าจะจบง่ายหรือไม่ง่าย เพราะไม่เคยยึดติดกับตำแหน่ง แต่ไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพื่อหนีปัญหา ไม่ละทิ้งหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง จะแก้ไขปัญหาที่ยังมีอยู่ 
     "การได้ชัยชนะท่ามกลางซากปรักหักพัง คุ้มค่าไหม ไม่คุ้มค่า เพราะจะไม่เหลือแม้แต่น้อย สงสารเยาวชนมาประท้วงบางหรือเปล่า ผมยืนยันจะทำหน้าที่จนกว่าไม่มีโอกาสได้ทำ ตอบชัดไหมครับ อย่าทำอะไรให้เกิดความเสียหายกับชาติบ้านเมือง อย่าเอาต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องในประเทศ เพราะเรามีอธิปไตยเป็นของตัวเอง ขอเตือนเอาไว้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"