จากนักร้องดังในยุค 90 แต่ชีวิตหักเหเพราะดันตั้งท้องแล้วถูกทิ้ง ซึ่งเธอก็เลือกที่จะเก็บลูกไว้ไม่ยอมทำแท้งจนต้องออกจากวงการ และมีชีวิตที่ค่อนข้างลำบาก ต้องดิ้นรนจนเหนื่อย โดยล่าสุด โรสแมรี่ คาฮันดิง  ได้มาพูดคุยในรายการถามสุดซอย เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมา พร้อมกันนี้วอนของาน ทำได้ทุกอย่างไม่เกี่ยงเรื่องเงิน  

          “ตอนนั้นกำลังมีวง จากรายได้ที่ไม่เยอะมาก ก็เป็นวงที่มีรายได้เยอะ เดือนนึงก็เยอะ กำลังจะดีไปได้สวย แล้วน้องมาพอดี เป็นจุดที่เราต้องเลือก คุณพ่อเขาไม่พร้อม เราก็ต้องเลือกว่าจะเอาน้องไว้หรือไม่เอาน้องไว้ ทุกคนที่วงรู้หมด แต่พอบอกแฟนเขาอึ้งและช็อกไป บอกว่ายังไม่ได้มั่นคงเลย และเขาก็ไม่พร้อม เราได้ยินแบบนี้ก็อ้าว แล้วยังไง คืออะไร เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักโรสนะ โรสอยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเหรอ อยากแต่งงานกับคนไม่รักเหรอ คำตอบนี้ก็ทำให้เราตัดเลย เพราะมันไม่มีคำถามแล้ว ถ้าเป็นผู้หญิงบางคนอาจจะทำไมเธอไม่รักฉัน แต่โรสไม่รักก็คือจบ ไม่มีคำพูดอะไรต่อ

          จุดหักเหคือเพื่อนที่รู้จักเป็นเจ้าของโรงแรมที่จังหวัดนึง แล้วโรสไปเจอเขาพอดี ก็เลยบอกเขาว่าฉันท้อง จริงๆ ตอนนั้นไม่กล้าบอกใคร เพิ่งรู้ว่าท้อง เขาก็ถามว่าจะยังไง จะเก็บน้องไว้ไหม ถ้าเก็บไว้จะช่วย แต่ก็ต้องตัดที่นี่ทิ้งทุกอย่างเลยนะ ตอนนั้นพ่อโรสไปร้องเพลงที่โรงแรมเขาด้วย เขาบอกจะทำห้องพักให้ที่ข้างหลังเป็นห้องพักพนักงาน จะติดแอร์ติดอะไรให้สบาย ให้ไปอยู่ที่โน่น ทิ้งที่นี่ซะ แล้วไปอยู่ที่โน่น ก็กินในโรงแรม เรื่องคลอดน้องเดี๋ยวจะดูแลให้ เราก็ตัดสินใจว่าเลือกน้อง ชีวิตเปลี่ยนเลย แล้วก็เริ่มทำอะไรไม่ได้ เพราะท้องโตแล้ว ก็กินนอนๆ

          ทีแรกเพื่อนที่ช่วย เป็นเพื่อนที่รู้จักมานาน 10 ปี เขากลับจากเมืองนอก ดีกับเรามาก แล้วอยู่ดีๆ วันนึงเขาก็เปลี่ยนไป ทุกคนในโรงแรมไม่คุยกับเราเลย เหมือนกดดัน ตอนนั้นน้องน่าจะ 1 ขวบ แล้วก็พูดกดดันว่าพ่อแก่แล้วเมื่อไหร่จะให้พ่อเลิกร้องเพลง พ่อเขาก็คิดมาก ตอนนั้นพ่อน่าสงสารมาก ขนาดตี 4 เขาจะอยู่กับเพื่อนอีกห้องนึง บอกว่าให้มาดูพ่อหน่อย พ่อเขาฉี่ราดรดกางเกงแล้วนะ แล้วใส่รองเท้าจะไปทำงาน เหมือนเขาคิดมาก เขากลัวจะไม่ได้ทำงาน คิดมากกลัวเราจะลำบาก

          แล้วที่โรงแรม คนนั้นก็พูดอย่างนั้นอย่างนี้ พอเราตอบโต้ไป สุดท้ายกลายเป็นเราเป็นคนสร้างเรื่องทั้งหมด ทั้งที่เราไม่ได้เป็นคนเริ่มเลย เพื่อนเราก็หูเบา เชื่อเขา ทุกอย่างก็กลายเป็นว่าไม่มีใครคุยกับเรา จากที่ไหว้เรา ทุกคนมองเราเอาง่ายๆ เหมือนสุนัขตัวนึงเลย เขาพยายามบีบให้เราออก แต่เราไม่มีทางออก เพราะเราไม่มีบ้าน ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่นี่เลย แล้วเราต้องหอบทั้งพ่อทั้งลูกทั้งหมากลับมา ลูกก็เล็ก แล้วจะทำงานประจำยังไง อายุขนาดนี้แล้วไม่เคยทำงานประจำ เป็นนักร้องมาตลอด

          กับคุณพ่อน้อง  เขาเพิ่งเจอลูกตอน 3 ขวบ โรสเพิ่งย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนน้อง 3 ขวบ เขาก็มาและถามว่าเรากลับมากรุงเทพฯ แล้วเหรอ ขอไปเจอลูกได้ไหม ขอไปกราบขอโทษได้ไหมกับเรื่องที่ผ่านมา เขาไม่กล้าโทรมาเพราะเห็นเราหายไปเลย ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เราก็บอกว่าไม่ต้องขอโทษไม่ต้องอะไรเลย เป็นสิทธิ์ของลูกกับเธอ เขาเป็นสายเลือดเธอ เราไม่มีสิทธิ์ห้ามเธอกับลูกเจอกัน ส่วนเรื่องเราก็เป็นคนอื่นไปแล้ว เรื่องขอโทษไม่ต้องเลย เธอก็เข้ามา และหาลูกได้เลย แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เจอกันแล้ว เพราะทางโน้นเขามีน้อง ทางแฟนเขาก็ไม่แฮปปี้เท่าไหร่ที่จะมาให้เจอ

          เรื่องค่าใช้จ่าย ตอนแรกก็มี แต่หลังๆ ก็น้อยลง เขาบอกว่าเป็นนักดนตรีติดโควิดก็ช่วยไม่ได้ ตอนหลังไม่ได้พูดก็ไม่ได้ทวงอะไร อยากช่วยเท่าไหนก็เท่านั้นแล้วกัน เพราะเบอร์บัญชีก็อยู่ตรงนั้น  ทุกวันนี้งานก็ไม่ค่อยมี มีอีเวนต์บ้าง น้องเพิ่งไปถ่ายละครมา ก็มีงานนิดๆ หน่อยๆ เป็นซีนเล็กๆ ไม่ได้เงินเยอะ ส่วนงานโฆษณาที่ไปแคสเป็นเงินก้อนใหญ่ๆ ก็หลุดหลายงานเพราะเด็กเยอะมากในตอนนี้ ก็ช่วยๆ กัน โรสทำทุกอย่าง แต่ทำทุกอย่างในกฎที่ต้องได้ดูแลลูกด้วย

          ถ้าคนจะหยิบยื่นโอกาสให้ โรสทำได้ทุกอย่าง อยากทำอยู่ในวงการเพราะเป็นช่วงเวลาที่่สั้นๆ และก็ได้เงิน อย่างพีเจเขาก็ทำงานได้ ถ้าน้องได้ทำเขาก็อยากช่วย เป็นประสบการณ์ เล็กๆ น้อยๆ ก็หยิบยื่นมาให้เราได้ เพราะเงินทุกอย่างตอนนี้ก็เป็นของเขา โรสก็โตจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เราไม่ได้ปาร์ตี้ ไม่ที่ยว ไม่แต่งตัวแล้ว ตอนนี้ก็ลูกทั้งนั้น จะกินอะไรสักอย่างก็คิดถึงลูก รอลูกมากินด้วย กินคนเดียวไม่สนุกแล้ว ก็อยากให้ช่วย ถ้ามีงานก็เรียกได้ เป็นเอ็กซ์ตร้า เป็นป้าอะไรก็ได้หมด เราแสดงได้ ร้องเพลงได้ เบื้องหลังก็ได้ ให้ไปดูแลอะไรก็ได้ จะไปเสิร์ฟน้ำก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ขอให้แค่ได้ทำงาน"