ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และโจ ไบเดน ขึ้นเวทีดีเบตเมื่อวันพฤหัสบดี เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายเพื่อชักจูงผู้มีสิทธิลงคะแนนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร การโต้วาทีเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นแต่ทั้งสองยังปะทะคารมกันดุเดือดเช่นเดิม
เอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า การโต้วาทีครั้งสุดท้ายระหว่างทรัมป์และไบเดนจัดที่มหาวิทยาลัยเบลมอนต์ ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 การดำเนินรายการค่อนข้างเรียบร้อยเมื่อเปรียบเทียบกับครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งมีแต่ความโกลาหลวุ่นวายพูดแทรกตอบโต้กันไปมา คราวนี้ทรัมป์ถึงขั้นชมการทำหน้าที่ของคริสเตน เวลเคอร์ ผู้สื่อข่าวช่องเอ็นบีซีนิวส์ ที่ทำหน้าที่ดำเนินรายการและควบคุมปุ่มปิดไมค์เพื่อให้เป็นไปตามกติกาที่วางไว้
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นทำให้การโต้วาทีครั้งนี้ได้เนื้อหาสาระกว่าเดิม โดยทั้งสองถกเถียงกันในหลายหัวข้อ โดยเฉพาะโควิด-19 และการทุจริต ไปจนถึงเศรษฐกิจ, เชื้อชาติสีผิว, ภาวะโลกร้อน, หลักประกันสุขภาพ และคนเข้าเมือง
เรื่องที่ทำให้ทั้งคู่ประคารมกันดุเดือดที่สุดช่วงแรกๆ ของการโต้วาทีคือคำกล่าวหาอีกฝ่ายว่าทุจริตกินสินบน ทรัมป์ยังคงพยายามกล่าวหาฮันเตอร์ ลูกชายของไบเดน ว่าเกี่ยวข้องกับการรับสินบนในจีนและยูเครน สมัยที่ไบเดนเป็นรองประธานาธิบดีของบารัค โอบามา ซึ่งเป็นคำกล่าวหาที่ไร้หลักฐาน ไบเดนตอบโต้กลับว่า ทรัมป์ต่างหากที่มีเรื่องต้องอธิบายกับคนอเมริกัน เรื่องการเสียภาษีเงินได้ที่เขาไม่ยอมเปิดเผย และบัญชีธนาคารในจีน
การขุดคุ้ยเกี่ยวกับธุรกิจของฮันเตอร์ ไบเดน ในยูเครนเป็นชนวนนำไปสู่การลงมติถอดถอนทรัมป์โดยสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ในขณะที่ตัวทรัมป์และลูกๆ ของเขาก็ถูกกล่าวหาเช่นกันเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนใหญ่โยงถึงธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในต่างแดน ส่วนกรณีภาษีนั้น นิวยอร์กไทมส์เปิดโปงว่า ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทรัมป์จ่ายภาษีเงินได้ให้รัฐบาลกลางแค่ปีละ 750 ดอลลาร์
อาวุธหนักที่สุดที่ไบเดนใช้ในการโจมตีทรัมป์ ซึ่งเขาใช้มาตลอดการหาเสียง คือการวิจารณ์เรื่องการรับมือการระบาดของโควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตผู้ป่วยในสหรัฐแล้วราว 220,000 คน และฤดูหนาวอันมืดมนกำลังใกล้เข้ามา
"คนอเมริกัน 220,000 คนเสียชีวิต ถ้าคุณไม่ได้ยินเรื่องอื่นที่ผมพูดในวันนี้ ก็ขอให้ได้ยินสิ่งนี้" ไบเดนวัย 77 กล่าว "ใครก็ตามที่รับผิดชอบการเสียชีวิตของคนจำนวนมากเท่านี้ไม่ควรดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา"
ด้านทรัมป์ วัย 74 ปี ซึ่งติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนต้องเข้าโรงพยาบาล กล่าวปกป้องการจัดการโรคระบาดของเขา โดยบอกว่าสหรัฐไม่อาจปิดเศรษฐกิจต่อไปอีกแล้ว "เรากำลังเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน" คำกล่าวของผู้นำสหรัฐที่เคยเรียกโควิด-19 ว่าแค่ไข้หวัดใหญ่เล็กๆ น้อยๆ "เราไม่มีทางเลือก"
ทรัมป์อ้างว่าไวรัสนี้กำลังจะหมดไปและวัคซีนใกล้จะสำเร็จแล้ว ทั้งที่หลายมลรัฐรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นสถิติใหม่รายวันเมื่อวันพฤหัสบดี
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยควินนิเพียกเมื่อวันพฤหัสบดีพบว่า ชาวอเมริกันเกือบ 6 ใน 10 คิดว่าการระบาดของไวรัสโคโรนานั้นไม่สามารถควบคุมได้
ทั้งคู่ยังตอบโต้กันเผ็ดร้อนเรื่องความสัมพันธ์กับต่างประเทศ รวมถึงการที่ทรัมป์ญาติดีกับคิม จองอึน ซึ่งไบเดนเรียกว่า "อันธพาล" แต่ทรัมป์้อ้างว่า เขาช่วยสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ที่โอบามาและไบเดนทำไว้เละเทะ และก่อภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์
ถึงวันศุกร์ มีชาวอเมริกันใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วมากกว่า 50 ล้านคน มากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผลสำรวจหลายสำนักบ่งชี้ว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกือบทั้งหมดตกลงใจแล้วว่าจะเลือกใคร โดยไบเดนมีคะแนนนำทรัมป์ห่าง โพลระดับประเทศของมหาวิทยาลัยควินนิเพียกระบุว่า ไบเดนมีคะแนนสนับสนุน 51% ส่วนทรัมป์ได้ 41%.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |