22 ต.ค.63 - เวลา 10.25 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผ่าน นายสาธิต สุทธิเสริม หัวหน้าฝ่ายประสานมวลชน เพื่อขอให้สั่งการไปยังกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อให้ตั้งกรรมการสอบสวนและเอาผิดวินัยข้าราชการพลเรือนในสถาบันการศึกษา จำนวน 716 คน ที่ร่วมลงชื่อเรียกร้องมายังนายกรัฐมนตรี อันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาพ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมประกอบข้อบังคับของสถาบันการศึกษาต่างๆว่าด้วยจรรยาบรรณของบุคลากร

ทั้งนี้ ตามที่เกิดข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมอาจารย์และนักศึกษาประมาณ 50 คน มายื่นแถลงการณ์เรื่องหยุดสลายการชุมนุมและขจัดผู้เห็นต่างสร้างทางออกให้ประเทศไทยโดยระบุว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงและการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 63 ที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บและสถานการณ์บานปลายไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลายลงแต่อย่างใด เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองพร้อมกับนักวิชาการ รวมถึงประชาชนที่มีรายชื่อแนบท้ายจำนวน 1,118 รายชื่อตามที่ปรากฏดังข่าว

"ซึ่งการกระทำและข้อเรียกร้องดังกล่าวของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ไม่ได้ยืนอยู่บนสถานะความเป็นอิสระทางวิชาการที่เป็นกลางทางการเมืองแต่อย่างใด หากแต่เป็นการกระทำในลักษณะที่หนุนเสริมกลุ่มการเมือง หรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ที่ใช้ยุทธวิธีในการปลุกระดมใช้ประชาชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา มาเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องข้อเรียกร้องต่างๆแทน โดยจัดการชุมนุมสาธารณะที่ผิดกฎหมายขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน"

ทั้งนี้ ตามกฎหมายนั้นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรือในสถาบันการศึกษาต่างๆต้องยึดถือคือพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาพ.ศ.2547 โดยเฉพาะในหมวด 5 มาเป็นแบบแผนในการควบคุมความประพฤติของตน อาทิในมาตรา 38 ที่ระบุว่า "ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยความบริสุทธิ์ใจ"

ดังนั้นการที่กลุ่มคณาจารย์ดังกล่าวออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนกลุ่มที่ออกมาชุมนุมสาธารณะที่ผิดกฎหมายหลายฉบับและมีพฤติกรรมการกระทำการจัดตั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ มาอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วหรือไม่

นอกจากนั้นตามกฎหมายดังกล่าวในมาตรา 39 เรียนระบุไว้ชัดเจนว่า "มาตรา 39 ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงธรรมขยันหมั่นเพียรและดูแลเอาใจใส่ รักษาผลประโยชน์ของทางราชการห้ามมิให้อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่ราชการของตน ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น การปฏิบัติหน้าที่การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของทางราชการ"

ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงใคร่กราบเรียนมายังนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามกฎหมายในการสั่งการไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะผู้บังคับสูงสุดของสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ที่อ้างตัวเองว่าเป็นนักวิชาการ เพื่อแสดงจุดยืนและข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ข้อดังกล่าวเพื่อดำเนินการ กับนักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 716 คน ดังต่อไปนี้

1. สั่งการไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดวินัยข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 716 คนที่ร่วมลงชื่อ เรียกร้องมายังนายกรัฐมนตรี

2.สั่งการให้สถาบันการศึกษาของรัฐทุกแห่งติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดในทุกชั้นเรียน เพื่อตรวจสอบการเรียนการสอนของคณาจารย์ต่างๆว่ามีการเข้าร่วมต่อสถาบันในลักษณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และ 3.สั่งการให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) และหน่วยงานราชการต่างๆขึ้นบัญชี Blacklist บุคคลตามบัญชีรายชื่อดังกล่าวมิให้แต่งตั้งมาเป็นกรรมการ อนุกรรมการ หรือตำแหน่งทางการบริหารหรือทางราชการอื่นใดของหน่วยงานของรัฐ ทั้งที่เป็นคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ นักวิชาการอิสระ สื่อมวลชน และนักศึกษา ที่กำลังเรียนในชั้นปริญญาเอกที่อยู่ในบัญชีรายชื่อด้วยเพื่อมิให้เข้ารับราชการหรือเข้ามากระทำการใดๆในระบบราชการต่อไปจนกว่าจะสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบแห่งตนที่มีต่อสถาบัน ส่วนชาวต่างชาติบางท่านขอให้ตรวจสอบว่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมีสถานะถูกต้องตามกฎหมายคนเข้าเมืองหรือไม่ หากพำนักอยู่ในต่างประเทศให้ขึ้นบัญชีห้ามเข้าประเทศไทยต่อไป