ปูดนิรโทษฯแลกดูด เพื่อแม้วอ้างผู้มีอำนาจส่งสายเสนอเงื่อนไขนักการเมืองอีสาน


เพิ่มเพื่อน    

ตามคาด! พรรคการเมืองรุมถล่ม "บิ๊กตู่"    เพื่อไทยโวยลั่น เคยมองนักการเมืองไม่ดีแล้วดูดทำไม   ซัดหลงอำนาจ ทำทุกอย่างเพื่ออยู่ต่อ "หัวเขียง" ปูด อดีตส.ส.อีสานถูกกดดันหนัก ใช้ธุรกิจ คดีความบีบ เอากฎหมายนิรโทษกรรมมาเป็นเงื่อนไขการเจรจา "พิชัย" หลงตัวอ้างเคยถูก "บิ๊กทหาร" ทาบทาม แต่ปฏิเสธไม่อยากไปสร้างเครดิตให้ คสช. คิดได้ไง? "วรชัย" ตอกนายกฯ เป็นแมวป่า แมวไม่ผ่านการเลือกตั้ง แต่จะมาจับหนูให้ประชาชน

    คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.) ในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ระบุว่า การดูดมีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว เป็นครรลองของประชาธิปไตยของไทยตลอดมานั้น     ทำให้พรรคการเมืองต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวาง
    นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม  พรรคเพื่อไทย แกนนำ ส.ส.ภาคอีสาน กล่าวว่า ต้องยอมรับในข้อเท็จจริงว่า ความเป็นนักการเมือง เรื่องการดูดหรือดึงตัว ส.ส.ย่อมมีพอสมควร แต่ขณะนี้ตนได้รับการสะท้อนจากอดีต ส.ส.บางพื้นที่ในภาคอีสานของพรรค ว่ามีการส่งสายซึ่งมาจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายปกครอง ข้าราชการ บุคคลในแวดวงการเมือง และผู้ที่มีความใกล้ชิดกับอดีต ส.ส. มาเกลี้ยกล่อมและทาบทามให้ไปร่วมงานด้วย โดยไม่มีกำหนดเวลาว่าจะต้องตัดสินใจเมื่อใด แต่บางคนถูกกดดันหนัก มีการหยิบยกเรื่องธุรกิจ รวมถึงเรื่องคดีความ อาทิ เรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมมาเป็นเงื่อนไขในการพูดคุย
         "เท่าที่คุยกับอดีต ส.ส.ที่ถูกทาบทามของภาคอีสาน มีจำนวนไม่มาก ซึ่งผมได้ให้กำลังใจและขอให้ใช้ความอดทนและใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจทำงาน เชื่อว่าอดีต ส.ส.ส่วนใหญ่ยังมีความอดทน และยืนยันจะร่วมงานกับพรรคต่อไป"
    เขาบอกว่า ในภาคอื่นๆ ทราบว่ามีบ้างตามที่เป็นข่าว ทั้งภาคกลางและภาคเหนือ ส่วนจะมีจำนวนเท่าไหร่นั้น ไม่ทราบ และแม้จะมีการดูด ส.ส. แต่พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีมาตรการหรือสั่งห้ามอดีต ส.ส.ไม่ให้ไปร่วมงานกับใคร เพราะถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะตัดสินใจ  ห้ามกันไม่ได้ เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการดูด ส.ส. ทำให้สังคมเห็นได้ชัดเจนว่า สอดรับกับการเตรียมตั้งพรรคการเมืองของทหารตามที่มีข่าวก่อนหน้านี้
    ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แกนนำพรรคเพื่อไทย อ้างว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 มีบิ๊กทหารในกองทัพติดต่อทาบทามให้ย้ายจากพรรคเพื่อไทยไปอยู่พรรคการเมืองใหม่ เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อ โดยได้ถามนายทหารคนดังกล่าวด้วยความสงสัยว่า จะไปช่วยงานได้อย่างไร ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์แสดงความรังเกียจตนเสมอมา แต่นายทหารกลับยืนยันว่าอยากให้ไปช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติ 
จะสร้างเครดิตให้
    "ผมได้บอกปฏิเสธไป เพราะเห็นว่าแนวคิดและแนวทางการทำงานไม่ตรงกัน อีกทั้งหากย้ายไปอยู่ด้วยจะสร้างเครดิตให้ คสช.ได้เป็นอย่างมาก"
    นายพิชัยกล่าวว่า เกมการเมืองของ คสช. เป็นเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทน ดังจะเห็นจากการตั้งนักการเมืองเป็นที่ปรึกษาฯ และผู้ช่วยรัฐมนตรี การที่ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าดูดนักการเมืองไปอยู่ด้วยนั้น จะต้องกลับไปดูว่าในอดีต พล.อ.ประยุทธ์เคยด่านักการเมืองไว้อย่างไรบ้าง เมื่อเห็นว่านักการเมืองเลว และไม่ต้องการให้นักการเมืองหน้าเดิมเข้ามา
    "ถามว่าคนที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินสายดูดนั้นมีคุณภาพที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นสมควรแล้วหรือไม่ เพราะถ้าทำแล้วประชาชนไม่เห็นด้วย ก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์ต่อ พล.อ.ประยุทธ์เอง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการการเมืองใหม่ แต่กลับยังทำการเมืองย้อนยุคไปถึงปี 2535 ที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ดูดคนไปอยู่ในพรรค จนเป็นนายกฯ แล้วเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จึงกังวลว่าทุกอย่างจะกลับไปซ้ำรอยเดิมอีก"
    เขาบอกว่า เกมการเมืองที่ คสช.กำลังเดินหน้าอยู่นี้ ยังสงสัยอยู่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมีความสามารถควบคุมนักการเมืองที่ดูดไปอยู่ด้วยได้อย่างไร เมื่อเจอนักการเมืองที่เจนจัดจะจัดการอย่างไร เพราะเมื่อเข้าสู่โหมดการเมืองปกติ การบริหารจัดการเรื่องต่างๆ จะไม่ง่ายเหมือนทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม อยากให้ประชาชนได้คิด พิจารณาก่อนตัดสินใจ และเชื่อว่า 4 ปีมานี้ ทำให้ประชาชนสามารถตัดสินใจเลือกผู้บริหารประเทศได้ดี”นายพิชัยกล่าว
        ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมรับมือพลังดูดนี้อย่างไร นายพิชัยตอบว่า เชื่อว่าความนิยมและความเชื่อถือของพรรคเพื่อไทยจะได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนอยู่ เมื่อประชาชนมั่นใจต่อพรรค ส.ส.ที่ย้ายออกไป ก็จะมีโอกาสได้รับการเลือกตั้งน้อย ซึ่ง ส.ส.เองก็ต้องคิดให้หนัก แม้บางคนจะเชื่อมั่นว่าตัวเองเก่ง คิดว่าจะชนะเลือกตั้งได้แน่นอนก็ตาม ก็ต้องคิดให้หนักว่าได้เพราะตัวเองหรือพรรค 
    ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ากลุ่มของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรองนายกฯ จะไม่อยู่พรรคเพื่อไทยแล้ว นายพิชัยแจงว่า เดิมทีนายสมศักดิ์อยู่กับพรรคภูมิใจไทย แล้วมาอยู่พรรคเพื่อไทย ดังนั้นการที่นายสมศักดิ์จะไม่ได้อยู่พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้ทำให้เราลำบาก เพราะไม่ได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พรรคเพื่อไทยนั้นเห็นประโยชน์ของประเทศมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว แต่ก็เคารพการตัดสินใจของทุกคน
จวกหลงอำนาจ
    นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจเข้ามาโดยให้เหตุผลต้องการปฏิรูปการเมือง แปลว่าที่ผ่านมามองนักการเมืองไม่ดี แต่วันนี้พอถูกกล่าวหาใช้พลังดูดอดีตส.ส.เข้าก๊วนเพื่อสืบทอดอำนาจ กลับพูดว่าเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว ถามว่าที่บอกจะปฏิรูป กลายเป็นหลงอำนาจจนลืมสิ่งที่ตั้งใจจะทำ กลับทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองได้อยู่ต่อใช่หรือไม่ แบบนี้แสดงว่าตัวท่านเองกำลังรับสารภาพว่าทำจริงตามที่เขากล่าวหาใช่หรือไม่ 
    "แล้วที่บอกว่าจะปฏิรูป แสดงว่าตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมาล้มเหลว จะกลับไปใช้วิธีเดิมๆ ใช่หรือไม่"
    นายสามารถกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวในพื้นที่ภาคเหนือนั้น อดีต ส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคยืนยันความเป็นสมาชิกกับพรรคแล้ว มีแต่เพียงบางกลุ่มตามที่เป็นข่าว ยังไม่ได้มายืนยันการเป็นสมาชิก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไร 
    นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวิเคราะห์กันว่า พล.อ.ประยุทธ์คงไม่เลือกใช้วิธีเป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ในรายชื่อของพรรคใดพรรคหนึ่ง และคงจะหาทางเป็นนายกฯ คนนอกจากการเลือกของรัฐสภาในรอบที่สอง ข้อเสนอของฝ่ายประชาธิปไตย คือขัดขวางการสืบทอดอำนาจของ คสช. ต่อต้านนายกฯ คนนอก 
    แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เปลี่ยนแผนเป็นให้บริวารตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อเสนอชื่อเป็นนายกฯ เพื่อให้รัฐสภาลงมติตั้งแต่รอบแรก และมีการดูดนักการเมืองและพรรคการเมืองเข้าไปสนับสนุนอย่างเอาจริงเอาจัง พร้อมกับการหว่านงบประมาณหาเสียงปูทางสู่การเป็นนายกฯ ประเด็นทางการเมืองก็เปลี่ยนไป พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หากได้เป็นนายกฯ ก็ไม่ใช่นายกฯ ที่มาจาก ส.ส. แต่ก็จะอ้างว่าเมื่อมีพรรคการเมืองเสนอชื่อให้รัฐสภาเลือกตั้งแต่รอบแรก ก็ไม่ใช่นายกฯ คนนอกในความหมายเดิมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นฝ่ายประชาธิปไตยยังจะชูธงต่อต้านนายกฯ คนนอกต่อไปหรือไม่ และจะว่าอย่างไรกับการที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ
        ทั้งนี้ นายจาตุรนต์ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวเห็นว่า การต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช.และต่อต้านนายกฯ คนนอก ยังต้องยืนยันต่อไป แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เปลี่ยนแผน ข้อเสนอของฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องปรับให้ชัดเจนและเจาะจงมากขึ้น คือนอกจากต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. ต่อต้านนายกฯ คนนอกแล้ว ควรจะกำหนดให้ชัดเจนไปว่าไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ไม่ว่าจะมาโดยวิธีใดๆ ก็ตาม
แมวป่าไม่ได้เลือกตั้ง
    นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุไม่ว่าจะเป็นแมวขาวหรือแมวดำ แต่ต้องเป็นแมวที่สะอาดไม่มีเชื้อโรค ว่า ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะไปว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเป็นแมวแบบไหน ต้องดูตัวเองก่อนว่ามาอย่างไร เพราะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเป็นแมวที่ประชาชนเลือกมาให้จับหนู ไม่ได้เป็นแมวสกปรกหรือมีโรค แต่เป็นแมวที่สะอาดจับหนูได้ แต่แมวที่ทำหน้าที่อยู่ตอนนี้เป็นแมวที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ประชาชนไม่ได้เลือกมา เป็นแมวป่า แล้วมาทำหน้าที่จับหนูให้ประชาชน
    "อีกทั้งยังเป็นแมวที่มีโรค มีการทุจริตคอร์รัปชัน เจ้าของบ้านจะตรวจสอบก็ไม่ได้ จับหนูก็ไม่ได้ เพราะวันนี้ประชาชนเดือดร้อนกันทั่วหน้า หนำซ้ำพอเจ้าของบ้านเรียกร้องให้มีการเลือกแมวมาทำหน้าที่ ก็ถูกกัดโดยการลิดรอนสิทธิ์ ดังนั้นก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะไปว่าแมวตัวไหน ควรทำตัวเองให้เป็นแมวสะอาดปราศจากโรคก่อน แล้วค่อยไปว่านักการเมือง ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกควรมีนักการเมืองหน้าใหม่กับนักการเมืองเก่าๆ ดีๆ นั้น นักการเมืองเก่าที่เป็นเจ้าพ่อที่ท่านเดินสายไปพบถือเป็นนักการเมืองดีๆ ใช่หรือไม่"
       นายวรชัยกล่าวว่า ที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดถึงการขุดบ่อล่อปลา โดยการใช้นโยบายไปเสนอให้ประชาชนนั้น  วันนี้โครงการที่รัฐบาลทำอยู่ เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ต่างจากโครงการประชานิยม เป็นการขุดบ่อล่อปลา แต่ปลาไปอยู่ที่นายทุนและกลุ่มของท่านเอง ไม่เหมือนโครงการของนักการเมืองอย่าง 30 บาท รักษาทุกโรค ที่ประชาชนได้ปลาเป็นการดูแลสุขภาพที่เข้าถึง ประชาชนรู้ดีว่าบ่อปลาแบบไหนได้ประโยชน์มากกว่ากัน ตรงนี้จะสะท้อนออกมาเมื่อมีการเลือกตั้ง
    นายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา  กล่าวว่า เห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วเรื่องการย้ายพรรคของส.ส. ก็เป็นเรื่องปกติ แต่การใช้คำว่าดูด ส.ส.เป็นวาทกรรมของนักการเมืองที่สร้างกันขึ้นมา ประกอบกับนายกฯ ท่านเป็นทหาร และเพิ่งเข้ามาทำงานการเมืองได้เพียง 4 ปี ท่านก็จะพูดตามที่วาทกรรมของพวก ส.ส. สร้างกันขึ้นมาเท่านั้น ในทางกลับตนคิดว่าเป็นเพียงการโยกย้ายพรรคของ ส.ส. เข้าพรรคนั้นออกพรรคนี้ ถึงเวลาพรรคใดมีความน่าสนใจมากกว่าก็ย้ายเข้าไปสังกัดพรรคนั้น เหมือนเช่นสมัยพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ มีความร้อนแรงขึ้นมา ส.ส.ก็อยากเข้าไปอยู่
    "วงการการเมืองควรจะพิจารณาตัวเองกันอีกครั้งแต่ละท่านที่ประดิษฐ์วาทกรรมทางการเมืองออกไปจนคนข้างนอกเอาไปใช้ แล้วก็เอาคำเหล่านั้นมาว่ากันเอง เราควรจะเลิกพฤติกรรมแบบนี้กันได้ อย่าเอาแต่เรื่องไม่ดีมาพูดกัน การเมืองใครจะไปได้ไกลกว่านี้"
    เมื่อถามว่า ในเมื่อมองว่าแนวโน้มเป็นแบบนี้ แสดงว่า คสช.จะคิดตั้งพรรคการเมือง นายวราวุธกล่าวว่า ตนเคยพูดมาเสมอ ถ้าทหารเข้ามาอยู่ในวงการเมืองตามระบบ เป็นเรื่องที่น่าสนับสนุนมากกว่าที่จะให้ทหารอยู่นอกระบบแล้วถึงเวลาก็มายึดอำนาจ ก็จะเป็นวงจรการเมืองแบบเก่าๆ ดังนั้นทหารควรเข้ามาอยู่ในระบบเลือกตั้ง จะได้มีการตรวจสอบมีระบบถ่วงดุลที่ถูกต้อง ไม่ใช่อยู่ในนอกระบบ
คนละพวก
        เมื่อถามอีกว่า ความเคลื่อนไหวในพรรคมี ส.ส.ย้ายออกหรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่า มีออกก็ต้องมีเข้ามา เป็นเรื่องธรรมดา เราเข้าใจ คนย้ายออกไปแล้วก็มี แต่ไม่ได้อยู่กับทหาร เคยมีคนพูดว่าเมื่อนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคเสียไปแล้ว ตนจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค แล้วจะไม่ดีเหมือนก่อน และเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสังคมหรือไม่ ก็มีคนมาคุยกับตนแบบนี้ด้วย ในทางกลับกันก็มีคนแสดงเจตนาที่อยากจะมาอยู่กับเราก็อีกหลายคนเช่นกัน ส่วนตนก็เคยประกาศชัดเจนว่าจะไม่ไปไหน เราจะอยู่ของเราอย่างนี้ ถ้าเจ้าตัวไม่ไปก็ไม่มีใครมาดึงดูดอะไรได้
    “ผมอยากจะบอกเป็นข้อสังเกตในพรรคเราว่า เมื่อก่อนพรรคชาติไทย พอมีคนเข้ามาในพรรคกันเยอะ มีเสียงในกว่า 90 เสียง จะเกิดเป็นมุ้งเป็นค่ายในพรรคขึ้น เยอะมาก เป็นพรรคเดียวกัน แต่คนละพวก เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับผม เพราะจะเป็นการบริหารจัดการยากมากในพรรค จนตอนหลังเราก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้วไม่อยากจะซ้ำรอยอีก เราต้องการให้เป็นเนื้อแท้ของพรรคอย่างเดียว” นายวราวุธกล่าว
    นายวราวุธกล่าวอีกว่า อีกไม่กี่วันก็จะเดือนพฤษภาคมแล้ว จะเข้าปีที่ 4 ที่รัฐบาล คสช.เข้ามาบริหารประเทศ ตนคิดว่าแรงกดดันทางการเมืองจะเพิ่มมากขึ้น เพราะตั้งแต่เกิดมา เห็นการยึดอำนาจมาพอสมควร จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ตนยังไม่เคยเห็นรัฐบาลทหารชุดใดอยู่บริหารประเทศนานเท่ารัฐบาลทหารชุดนี้เลย ดังนั้นตนขอฝากเป็นข้อสังเกตว่า การทำงานของท่านต้องเร่งให้มีผลงานเป็นรูปธรรมให้มากขึ้น ทั้งนี้ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมป คิดว่าในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ รัฐบาลและ คสช.ต้องปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ เพื่อจะให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 แต่ถ้ามันไม่ทันตามโรดแมป ก็จะสร้างผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ ซึ่งทุกฝ่ายก็เอาใจช่วยรัฐบาลให้ดำเนินการตามกรอบโรดแมปอยู่แล้ว เพื่อให้มีการเลือกตั้งปีหน้า
    ขณะที่นายเจริญ คันธวงศ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คงยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำจริง พูดจริง และก็เป็นอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ว่าทำกันมานานแล้ว พอมีพรรคทหารตั้งมา แล้วเตรียมตัวได้มานาน ก็ต้องใช้วิธีไปดูดคนนั้นคนนี้มา  สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ทำ ดังนั้นทำกันตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก 
    "แต่พรรคประเภทนี้สู้ไปก็อยู่ไม่นาน เพราะเป็นพรรคเฉพาะกิจ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้กังวลอะไร สมาชิกมีเข้ามีออกเป็นเรื่องปกติ ความจริงถ้าท่านจะเล่นการเมือง ท่านควรจะเตรียมตัวมานานแล้ว ที่จะพูดให้เข้าหูคน เพราะนักการเมืองต้องพูดให้เข้าหูคน ตอนท่านเป็นทหาร ไม่จำเป็นต้องพูดเข้าหูก็ได้ แต่บริหารมาเกือบ 4 ปี ก็ยังไม่ยอมรับความจริง เพิ่งจะเริ่มมาเปลี่ยนว่านักการเมืองต้องพูดเข้าหูประชาชน ซึ่งก็ยังดีเริ่มเปลี่ยนบ้าง” นายเจริญกล่าว
วัชระจุดพลุ
    ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องขอใช้สิทธิ์พาดพิงจากการที่บางคนยอมเป็นเด็กเลี้ยงแกะ พูดจาไร้เหตุผล ปราศจากหลักฐาน เรื่องที่มีการกล่าวหาว่ามีการใช้งบประมาณทุจริต ใช้วงเงินเป็นหมื่นล้านบาท ก็ไม่ทราบเอามาจากไหนเหมือนกัน และเอามาได้อย่างไร ถ้า พล.อ.ประยุทธ์รู้ ท่านต้องบอกมาด้วย หรือท่านเคยทำก็ไม่ทราบเหมือนกัน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สั่งตนห้ามพูดเรื่องการเมืองแล้ว เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์อาศัยรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านสื่อของรัฐทุกช่องทางพาดพิงตน ก็ต้องขอใช้สิทธิ์ตอบคำถาม พล.อ.ประยุทธ์อย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้จะขัดคำสั่งหัวหน้าพรรคก็ตาม
         "วัชระนี่แหละที่จุดพลุเรื่องพรรคทหาร ที่ก่อการโดย ทีมเศรษฐกิจ คสช.เป็นคนแรก ตอนนั้นก็ปัดกันวุ่น เวลาผ่านไปก็เรียงหน้ารับสารภาพว่าพรรคสตาร์ทอัพ มันมีอยู่จริง หรือใครจะว่าตัวเลข 4 หมื่นล้าน เว่อร์เกินไป มโนไปเรื่อย ก็อย่าลืมว่าเม็ดเงินที่รัฐบาลทหารอัดฉีดไปแล้ว และกำลังทยอยใส่เข้าระบบ ผ่านโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่ามากกว่าล้านล้านบาท คงไม่ต้องบอกว่ามีโครงการอะไรบ้าง แต่ถ้าหากลองนั่งดีดลูกคิดเล่นๆ กันดู แล้วจะเข้าใจในตัวเลข 4 หมื่นล้านของเดอะแจ็ค เอาเข้าจริงตัวเลขของวัชระยังตกหล่นไปกว่าครึ่งด้วยซ้ำ ด้วยในวงคีย์แมนพรรคทหาร มีการพูดกันไปถึง 8 หมื่นล้านบาทถึง 1 แสนล้านบาทเสียด้วยซ้ำ" 
    นายวัชระยังกล่าวในส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ถามตน ที่ระบุว่า "ไม่ทราบเอามาจากไหน และเอามาได้อย่างไร ถ้าท่านรู้ ท่านต้องบอกผมมาด้วยนะครับ หรือท่านเคยทำ" ว่า พล.อ.ประยุทธ์ควรได้รางวัลตุ๊กตาทอง ท่านตีบทแตกยิ่งกว่าดาราเมจิกสกิน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ทราบว่าเอามาจากไหน ให้ถามเพื่อน วปอ.ของท่านที่เคยเป็นผู้ว่าฯ ภาคอีสานทำโครงการซื้อยาปราบศัตรูพืชเกือบ 1,000 ล้านบาท หรือถามนักการเมืองที่ท่านกำลังดูดอยู่ขณะนี้ เพราะประสบความสำเร็จในโครงการฝายแม้ว,ธนาคาร BBC., โครงการกล้ายาง หรือถามรุ่นพี่ท่านในโครงการเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดจีที 200, โครงการเรือเหาะ ได้ตลอดเวลา ตนเชื่อว่าท่านรู้อยู่แล้ว แล้วมาลองภูมิตนทำไม
         "อดีต ส.ส.อย่างผม ไม่เคยทำอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถาม ถ้าท่านอยากรู้ว่าเขาทำกันอย่างไร ให้ถามคนใกล้ตัวอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ถุงเงินของรุ่นท่าน หรือนักการเมืองที่ท่านเพิ่งดูดไปจะดีกว่า ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้ดีพอ และไม่เคยทำแบบคนในรัฐบาลท่าน หรือนักการเมืองที่ท่านดูดไปแล้วอ้างว่าเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ท่านพูดไม่อายปากบ้างหรือ" 
        นายวัชระกล่าวต่อว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้รายการศาสตร์พระราชาฯ มาว่านักการเมืองที่อยู่ตรงข้ามท่านบ่อยๆ ท่านคิดว่าเป็นสุภาพบุรุษ และมีความเหมาะสมเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองแล้วหรือ    
นายกฯ เป็นจำเลย
    นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นว่า นายกรัฐมนตรีขณะนี้เหมือนตกเป็นจำเลย แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกตรวจสอบและถูกวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งนายกฯ ก็ต้องทำใจ สำหรับตนเห็นว่าการรวบรวมนักการเมืองมาเป็นเรื่องปกติ และทุกพรรคก็ทำทั้งนั้น ทั้งพรรคเก่าและพรรคใหม่ การใช้คำว่าดูด เป็นการใช้ศัพท์การเมืองที่ทำให้ดูหวือหวา ตื่นเต้น แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องธรรมชาติทางการเมือง
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ข่าวที่ออกมาพุ่งเป้าไปที่นายกฯ เพราะการเป็นรัฐบาล จะได้เปรียบทางการเมืองมากกว่า ที่ปรึกษารองนายกฯ ตอบว่า ตนเข้าใจ เพราะทุกคนก็คงต้องคิดว่าหากนายกฯ หรือคนในรัฐบาลเล่นการเมืองก็จะทำให้ได้เปรียบ เพราะคุมกลไกรัฐอยู่ คุมกลไกมหาดไทย มีทหาร มีมาตรา 44 อีก ได้เปรียบหลายอย่าง เลยทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง แต่อยากให้เข้าใจว่ารัฐคงไม่ไปทำแบบนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเสียคะแนน อยากให้แยกแยะระหว่างการทำงานลงพื้นที่ของนายกฯ ที่ไปช่วยเหลือประชาชน กับการหาเสียง ต้องแยกออกจากกัน อยากให้เห็นใจนายกฯ ด้วย ลงพื้นที่ก็โดนนักการเมืองเหน็บ ไม่ลงก็โดนประชาชนบ่นอีก
    “ผมเข้าใจดีว่ารัฐบาลอยู่ในจุดยืนที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและล่อแหลม บางครั้งอาจต้องคิดเพิ่มว่า จะทำอย่างไรให้หลายฝ่ายเกิดความมั่นใจมากขึ้น เพราะถึงอย่างไรก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้นายกฯ ก็ยอมรับความจริงอยู่ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายสบายใจขึ้น ยิ่งตอนนี้เข้าสู่โหมดการเมืองแล้วรัฐบาลก็คงต้องรับฟัง หากลไกเพิ่ม ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องหาวิธีทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายรู้สึกสบายใจขึ้น ซึ่งมันจะดีกับภาพรวม”
    ถามว่า ส่วนตัวคิดว่านายกฯ จะเล่นการเมืองหรือไม่ นายปณิธานตอบว่า ปัจจุบันก็ถือว่านายกฯ ทำการเมืองอยู่แล้ว แต่ในอนาคตจะทำต่อหรือไม่ ตรงนี้ตนคิดว่านายกฯ ยังไม่ได้ตัดสินใจ ที่ผ่านมานายกฯ ก็บอกเองว่าถ้าประชาชนอยากให้ทำงานต่อก็จะพิจารณา แต่การที่จะให้นายกฯ ไปจดทะเบียนพรรคการเมือง ตัวเองคิดว่าคงไม่ใช่ และคงเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับคนรอบตัวนายกฯ ความจริงก็มีหลายคนที่เป็นนักการเมืองมาก่อน เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เพราะฉะนั้นถ้านายสมคิดจะไปทำงานการเมืองต่อ แล้วมาเชิญนายกฯ ท่านก็คงต้องพิจารณาว่าจะเดินไปจุดนั้นหรือไม่.
    


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"