แฟ้มภาพ
14 ต.ค.63 - ที่ศาลอาญาธนบุรี ถ.เอกชัย ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1204/2562 ที่พนักงานอัยการคดีอาญาธนบุรี 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายรัชเดช หรือน้ำอุ่น วงศ์ทะบุตร จำเลยที่ 1 , นายชัยพล หรือคิว พรรณนา เจ้าของงานปาร์ตี้บ้านบางบัวทอง จำเลยที่ 2 , นายนที หรือตี๋ สถิตพงษ์สถาพร จำเลยที่ 3 , น.ส.พิกุลทอง หรือเฟิร์ส บุญภา แฟนสาวของคิว จำเลยที่ 4 , นายกฤษฎาหรือโนบิ โลหิตดี จำเลยที่ 5 , นายโกเศศ หรือปิงปอง ฤทธิ์นิธิฤกษ์ จำเลยที่ 6 ในความผิด 4 ข้อหา ฐานเป็นซ่องโจร, พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการใดๆ ,กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ , หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210,213,278, 284 , 310 ประกอบมาตรา 83,91
กรณีจำเลยทั้ง 6 มีงานเลี้ยงโดยมีการดื่มสุรา ที่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.บางบัวทอง แล้วจ้าง น.ส.ธิติมา หรือลันลาเบล นรพันธ์พิพัฒน์ อายุ 26 ปี ให้มาเป็นพริตตี้ชงเหล้าร่วมเต้นรำและร่วมดื่มสุรา โดยจำเลยทั้ง 6 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ น.ส.ธิติมา ดื่มสุราจนเมาและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้ว นายรัชเดช จำเลยที่ 1 ได้พาพริตตี้ลัลลาเบล ซึ่งขณะนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดสูงมากอยู่ในภาวะมึนเมา โดยใช้กำลังประทุษร้ายไปอนาจาร และอุ้มแบกออกจากบ้านหลังดังกล่าว ไปขึ้นรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แล้วพาไปที่ห้องพักคอนโดย่านดาวคะนอง แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กทม. แล้วจำเลยที่1 แล้วพาพริตตี้ลันลาเบลอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ไปบนห้องพัก เป็นเหตุให้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายและถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันสนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่1 ขณะที่จำเลยที่ 2-6 ต่างล่วงรู้ถึงเป้าหมายของการจัดงานปาร์ตี้ โดยให้พริตตี้ลันลาเบลดื่มสุราจนเมา ไม่สามารถครองสติและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วพวกจำเลยยินยอมให้นายรัชเดช จำเลยที่ 1 พาพริตตี้ลันลาเบลไปกระทำอนาจารโดยไม่ได้ขัดขวางหรือเข้าห้ามปรามอันเป็นการให้ความช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่นายรัชเดช
โดยวันนี้ จำเลยทั้งหมดที่ได้ประกันตัวและเดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมทนายความ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า เกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งหก ซึ่งมีพยานโจทก์เบิกความยืนยันในชั้นศาล สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวน ภาพจากกล้องวงจรปิด คลิปวิดีโอจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยทั้งหก บันทึกการสนทนาในแอปพลิเคชันไลน์ รายงานผลการสืบสวนพฤติกรรมของบุคคล บันทึกการชี้ตัวของพยานซึ่งได้กระทำทันทีหลังเกิดเหตุ ผลการชันสูตรพลิกศพ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จึงน่าเชื่อ รับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้กระทำอนาจารผู้ตาย โดยใช้กลอุบายหลอกล่อให้ผู้ตายดื่มสุราในปริมาณมาก เพื่อให้ผู้ตายหมดสติอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และได้พาผู้ตายซึ่งหมดสติขึ้นรถยนต์ไปที่คอนโดของจำเลยที่ ๑ โดยมีเจตนาที่จะล่วงละเมิดทางเพศผู้ตาย ทั้งพยานโจทก์ปากนายแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพให้ความเห็นว่า ผู้ตายเสียชีวิตในช่วงเวลา ๑๕ นาฬิกา ถึง ๑๙ นาฬิกา สาเหตุการตายเกิดจากภาวะการหายใจล้มเหลวอันเนื่องจากพิษของเอทิลแอลกอฮอล์ (เอทานอล)
อย่างฉับพลัน ผู้ตายมีปริมาณเอทานอลในเลือดสูงถึง 431.76 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เป็นปริมาณที่มากกว่าการดื่มสุราตามปกติ ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ แต่หากมีการนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา
ก็สามารถที่จะช่วยชีวิตได้ ประกอบกับผู้ตายสวมใส่นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ ซึ่งจับการทำงานของหัวใจได้ว่ามีเลือดไหลเวียนครั้งสุดท้ายในเวลา ๑๗.๑๐ นาฬิกา โดยนาฬิกาจะตั้งการตรวจจับไว้ทุก ๑๐ นาที
เชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายในระหว่าง เวลา ๑๗.๑๐ ถึง ๑๙ นาฬิกา ระหว่างที่จำเลยที่ ๑ พาผู้ตายขณะหมดสติไปยังห้องในคอนโดของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ย่อมเล็งเห็นได้ว่าผู้ตายอาจจะได้รับอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยที่ ๒ ถึง จำเลยที่ ๖ เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงในลักษณะนี้มาก่อน รู้ว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนามอมเหล้าผู้ตาย แต่ไม่ขัดขวางห้ามปราม กลับชักชวนให้ผู้ตายดื่มสุรา และยอมให้จำเลยที่ ๑ พาผู้ตายซึ่งหมดสติออกไปจากงานเลี้ยง การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึง จำเลยที่ ๖ ดังกล่าวถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการพาผู้ตายไปเพื่อการอนาจาร และในการที่ จำเลยที่ ๑ หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายซึ่งอยู่ในสภาพหมดสติมีอาการโคม่าแต่จำเลยที่ ๑ กลับไม่พาไปรักษาที่โรงพยาบาล จำเลยที่ ๒ ถึง จำเลยที่ ๖ จึงเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ ๑ กระทำความผิด การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร ฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ความตาย
ความผิดทั้งสามฐานดังกล่าว จำเลยที่ ๑ กระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกัน โดยมีเจตนาเพื่อกระทำอนาจารและล่วงละเมิดในทางเพศผู้ตาย
จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังถึงแก่ความตายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๐ ส่วนจำเลยที่ ๒ ถึงจำเลยที่ ๖ เป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ ๑ กระทำความผิดดังกล่าว สำหรับฐานซ่องโจร โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยทั้งหกสมคบหรือตกลงจะกระทำความผิดแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ถึง จำเลยที่ ๖ เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ยกฟ้องในความผิดฐานซ่องโจร
พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 นายรัชเดช หรือน้ำอุ่น ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุก 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-6 ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าวืจำคุกคนละ 5 ปี 4 เดือน และให้จำเลยทั้ง 6 ร่วมกันชดใช้ค่าสินใหม่แก่โจทก์ร่วมจำนวน 748,660 บาท
ต่อมาศาลอนุญาตให้จำเลยได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ตีราคาประกัน 350,000 บาท จำเลยที่ 2-6 ตีราคาประกันคนละ 150,000 บาท
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |