ผมตั้งวงสนทนากับ ดร.วิรไท สันติประภพ หนึ่งวันก่อนเกษียณจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะอยากรู้ว่าท่านคิดว่าอะไรคือเรื่องเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องทำเพื่อให้รอดจากวิกฤติหลายๆ ด้าน
ท่านบอกสองเรื่องแรกคือ ปัญหาผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำ
เรื่องที่สองคือ เศรษฐกิจไทยมีภูมิคุ้มกันต่ำและขาดความสามารถในการรับมือกับภัยต่างๆ
ทั้งสองเรื่องมีรายละเอียดในคอลัมน์นี้เมื่อวาน
วันนี้คือประเด็นที่ 3 ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสองข้อแรก และมีความ "เร่งด่วน" ที่ไม่น้อยไปกว่าปัญหาอื่นๆ ที่รุมเร้าประเทศไทย
นั่นคือความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ และผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่กระจุกตัวสูง
"คนไทยต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำทางโอกาสตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา..." ดร.วิรไทบอก
ทางออกคือการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากวิกฤติโควิด-19 จะต้องมีหลักการอย่างไรบ้าง
ดร.วิรไทเสนอว่า
ประการแรก การเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นต้องสอดคล้องกับทิศทางการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลายเรื่องจะต้องใช้ทรัพยากรเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอนาคต การทำธุรกิจวิถีใหม่และการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับตัวไปในทิศทางที่สอดรับกับโลกใหม่ก็ต้องใช้ทุน
ดังนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม ให้เกิดสมดุลทั้งการเยียวยาหรือประคับประคองในช่วงสั้น และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและวิถีการทำธุรกิจสำหรับระยะยาว
ที่สำคัญภาครัฐควรลดการออกมาตรการช่วยเหลือ "แบบเหวี่ยงแห" สำหรับทุกคน
ประการที่สอง รัฐต้องทำให้เกิดภาวะที่สามารถย้ายทรัพยากรจากภาคเศรษฐกิจหนึ่งไปสู่อีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งได้
นั่นหมายถึงการต้องลดอุปสรรคในการโยกย้ายทรัพยากร
ต้องยอมรับว่าการโยกย้ายทรัพยากรข้ามธุรกิจ หรือข้ามภาคเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องง่าย มีต้นทุนสูงและใช้เวลานาน
อุปสรรคที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งเกิดจากกฎเกณฑ์ต่างๆ ของภาครัฐที่ไม่สอดคล้องกับโลกใหม่
รวมถึงการออกกฎเกณฑ์ในอดีต ที่มักเอากรอบอำนาจทางกฎหมายของหน่วยงานผู้ออกกฎเป็นตัวตั้ง
ส่งผลให้เรื่องของโลกใหม่ที่อาจจะครอบคลุมหลายหน่วยงานเกิดขึ้นได้ยาก นอกจากนี้ยังมีกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อนและไม่ยืดหยุ่นพอในโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ผลของกฎระเบียบที่ยุ่งยากยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจและสังคมอีกด้วย เพราะผู้ประกอบการ SMEs จะมีต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยในการปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้สูงกว่าบริษัทขนาดใหญ่มาก
ความพยายามหนึ่งที่จะลดกฎเกณฑ์ที่ไม่จำเป็นของไทยคือ โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็น หรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน
หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า โครงการ Regulatory Guillotine
จากการศึกษามากกว่า 1,000 กระบวนงานของราชการ พบว่ามีถึง 424 กระบวนงานที่ไม่จำเป็น สามารถตัดออกไปได้ และอีก 472 กระบวนงานที่ควรได้รับการปรับปรุง
หลังจากงานศึกษาชิ้นนี้ออกมา ก็เป็นที่น่ายินดีว่ามีบางหน่วยงานเห็นความสำคัญและรับไปปรับปรุงกฎเกณฑ์อย่างรวดเร็ว
แต่ก็ยังมีกระบวนงานอีกจำนวนมากที่ยังรอการแก้ไขอยู่
ประการสุดท้ายคือ ท้องถิ่นต่างจังหวัดจะต้องเป็นหนึ่งเป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมในชนบทต่างจังหวัดเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ
ประชากรวัยทำงานจำนวนมากต้องทิ้งภูมิลำเนาต่างจังหวัดเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่จนเกิดครอบครัวโหว่กลางทั่วไป
ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาแรงงานสูงอายุในภาคเกษตร ปัญหายาเสพติด ปัญหาวัยรุ่นตั้งครรภ์ ตลอดจนปัญหาคุณภาพการศึกษาตกต่ำ
แต่วิกฤติโควิดได้ทำให้เราเห็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 นั่นคือการย้ายกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัดของแรงงานมากกว่าหนึ่งล้านคน
แรงงานเหล่านี้มีศักยภาพที่จะเป็นพลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นต่างจังหวัด และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมชนบท ยกระดับผลิตภาพในภาคเกษตรและวิสาหกิจชุมชน
เป็นโอกาสในการเพิ่มทั้งอุปทานและกำลังซื้อในท้องถิ่น แต่ละท้องถิ่นจะสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น และเศรษฐกิจไทยโดยรวมสามารถลดการพึ่งพิงส่วนกลางและเมืองหลักต่างๆ ลง
การส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในท้องถิ่นต่างจังหวัดจำเป็นต้องทำแบบครบวงจร และต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นกลไกสำคัญ เทคโนโลยีและดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ จะช่วยตอบโจทย์ทั้งด้านข้อมูล การตลาด ระบบโลจิสติกส์ การเข้าถึงสินเชื่อ การโอนเงินชำระเงิน ตลอดจนบริการด้านสาธารณสุขและคุณภาพการศึกษา
การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นซึ่งเป็นการพัฒนาเชิงพื้นที่นี้ มีความท้าทายหลากหลายมิติ
ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีบริบทไม่เหมือนกัน
จึงจำเป็นต้องเร่งการกระจายอำนาจทั้งในการตัดสินใจโครงการต่างๆ และงบประมาณสนับสนุน
อีกทั้งต้องเปิดกว้างให้ภาคประชาสังคมและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายและการดำเนินการ แทนที่หน่วยงานภาครัฐจะเป็นผู้ดำเนินการเองเป็นส่วนใหญ่
ข้อเสนอทั้งหมดของ ดร.วิรไทเป็น "งานใหญ่" ของทั้งรัฐบาลและเอกชน
ท่านยืนยันว่าที่เสนอมานั้นไม่ใช่ "ทางเลือก" คือทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่เป็น "ทางรอด"
เพราะหากไม่ทำก็จะรอดยาก!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |