'อาคม'เข้าเฝ้าฯ ชาวบ้านบ่นตรึม ปัญหาปากท้อง!


เพิ่มเพื่อน    


      “อาคม” เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว เตรียมประชุมคณะผู้บริหารคลังก่อนไปร่วมถก ครม. “โพล” เผยชาวบ้านบ่นเรื่องข้าวยากหมากแพง อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไข “เทพไท” ยกตัวเลขหนี้พิสูจน์ฝีมือขุนคลัง
     เมื่อวันอาทิตย์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี​ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวคณะรัฐมนตรี ก่อนที่เวลา 16.25 น. นายอาคมพร้อมคณะจะเดินทางออกจากทำเนียบฯ และในช่วงเย็นวันเดียวกัน​ พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรี​และ รมว.กลาโหม​ ได้นำ​นายอาคม​เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่
     ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงความกดดันจากการที่ต้องเข้ารับตำแหน่ง รมว.การคลัง ในช่วงประเทศกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจขณะนี้ นายอาคมตอบเพียงสั้นๆ ว่ายังไม่ขอพูดอะไร โดยในวันที่ 12 ต.ค. จะเดินทางเข้าทำบุญที่กระทรวงการคลังตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมร่วมประชุมคณะผู้บริหารกระทรวงการคลัง ก่อนมาร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบฯ
    ขณะเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ 1,164 คน ซึ่งสำรวจทางออนไลน์ในเรื่อง 5 เสียงบ่นของคนไทย ณ วันนี้ พบว่า  60.26% ข้าวของแพง, 50.43% รายได้น้อยไม่พอรายจ่าย, 48.45% การทำงานของรัฐบาล, 48.45% โรงเรียน/ครูที่ไม่ได้คุณภาพ และ 46.03% ความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งนี้ เมื่อถามว่าใครจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้ พบว่า 61.19% รัฐบาล, 55.05% นายกรัฐมนตรี, 49.52% คนไทยต้องช่วยกัน, 46.36% เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และ 39.60% เริ่มจากตัวเอง       
     นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า รายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 2 ปี 2563 มีกว่า 13.58 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.8% ต่อจีดีพี ซึ่งขยับขึ้นสวนทางเศรษฐกิจที่หดตัว โดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหนี้ครัวเรือนของไทยเคยสูงแบบก้าวกระโดดมาแล้วในยุครัฐบาลทักษิณ และครั้งนี้ยอดหนี้ครัวเรือนของไทยก็สูงขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัฐบาลชุดนี้
     “อยากจะฝากปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนไปยังทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นการต้อนรับและพิสูจน์ฝีมือการทำงานของนายอาคม”นายเทพไทกล่าว
     ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ข่าวที่นายกฯ ญี่ปุ่นเลือกเดินทางไปเยือนเวียดนามและอินโดนีเซีย และข่าวผู้ผลิตรถ Tesla จะไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้าที่อินโดนีเซียและอินเดีย รวมทั้งย้ายฐานการผลิตของพานาโซนิคไปเวียดนาม คือการส่งสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจมายังไทยว่ากำลังจะเสียฐานการผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นอันดับ 1 ซึ่งสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เรามองออกล่วงหน้าว่า วันหนึ่งความได้เปรียบด้านสิทธิพิเศษทางภาษีจะหมดไป เราจึงเข้าสู่การเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เพื่อเอามาทดแทนสิทธิพิเศษทางภาษี แต่ผลจากการยึดอำนาจทำให้ประเทศคู่ค้าสำคัญหยุดการเจรจา จนกระทั่งเราถูกตัด GSP ทำให้ความได้เปรียบของไทยหมดไป นั่นคือต้นเหตุที่ทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตที่มีสาเหตุมาจากการยึดอำนาจ
     “เราต้องมองหาฐานรายได้ใหม่จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ๆ และมองหาโอกาสใหม่ให้เจอในโลกหลังโควิด-19 แต่ที่น่าเป็นห่วงคือจนบัดนี้รัฐบาลยังไม่รู้สาเหตุของปัญหา รัฐบาลยังคงทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปในทิศทางเก่าๆ อย่างอีอีซี ทั้งๆ ที่ไทยไม่มีความได้เปรียบในสายตาของนักลงทุนอีกต่อไปแล้ว และที่น่าเศร้าคือคนไทยไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงมีการเลือกตั้งก็จะได้ พล.อ.ประยุทธ์และระบอบประยุทธ์อยู่ต่อไปอีก” คุณหญิงสุดารัตน์โพสต์
     นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี 2563 น่าจะกระเตื้องขึ้นบ้างโดยภาพรวม ทั้งการบริโภค การลงทุน การส่งออกและการท่องเที่ยว ส่วนการชุมนุมในวันที่ 14 ต.ค.นี้ คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจให้แย่ลงอีกตราบเท่าที่ไม่มีความรุนแรงและไม่ยืดเยื้อ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"