สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน / พอช.จัดกิจกรรม ‘พอช.รวมพลังสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต’ ประกาศเจตนารมณ์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในการดำเนินงาน ด้าน ผอ.พอช.เน้นย้ำจะต้องทำให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน และต้องทำตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่ประกาศเจตนารมณ์ หรือเป็นเพียงพิธีกรรม แต่จะต้องออกมาจากใจจริง ขณะที่ ผอ.สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง ป.ป.ช. แนะการป้องกันทุจริตต้องปฏิบัติตามกฎหมายและใช้หลักคุณธรรม
วันนี้ (27 เมษายน) ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ได้จัดกิจกรรม ‘พอช.รวมพลังสร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต’ ที่ห้องประชุม พอช. ถนนนวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ พอช. เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 200 คน และมีการถ่ายทอดผ่านระบบ Video Conference ไปยังสำนักงาน พอช.ทั้ง 5 ภาคทั่วประเทศ ซึ่งในการจัดกิจกรรมครั้งนี้มีการประกาศเจตนารมณ์ของสถาบันฯ ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในการดำเนินงานของผู้ปฏิบัติงานสถาบันฯ และมีนายจักรกฤช ตันเลิศ ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมบรรยายพิเศษ
นางสาวพรรณทิพย์ เพชรมาก รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ ในฐานะประธานคณะทำงานโครงการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในการดำเนินงานของผู้ปฏิบัติงานของสถาบันฯ กล่าวว่า พอช.เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาจากโครงการพัฒนาคนจนในเมือง ดังนั้นงบประมาณของสถาบันฯ จึงนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาคนจนเป็นหลัก ซึ่งที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พอช.ได้ให้ความสำคัญต่อการทำงานที่สุจริตโปร่งใส ทั้งในส่วนขององค์กรและชุมชน โดยในส่วนขององค์กรนั้น ได้มีการออกข้อบังคับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ว่าด้วยประมวลจริยธรรม คณะกรรมการ ผู้อำนวยการ และผู้ปฏิบัติงานของสถาบันฯ ซึ่งต้องมีคุณธรรมและศีลธรรม ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
ทั้งนี้ข้อบังคับของสถาบันฯ ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ข้อ 21 กำหนดว่า “ผู้ปฏิบัติงานของสถาบันฯ ต้องปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ เที่ยงธะรรมและประพฤติตนอยู่ในความสุจริต ห้ามมิให้อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น” หากผู้ปฏิบัติงานมีความผิด โทษรุนแรงสูงสุดทางวินัยคือปลดออก
นายสมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวว่า ทุกศาสนาต่างก็มีข้อบัญญัติเรื่องการห้ามลักขโมย ซึ่งก็คือการป้องกันการทุจริตนั่นเอง แต่ปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความโลภของมนุษย์ ดังนั้นนอกจากข้อห้ามของศาสนาเพียงอย่างเดียวคงยังไม่พอ จึงต้องมีกฎหมายขึ้นมากำกับ ซึ่งในส่วนของ พอช. พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. ได้เน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และโปร่งใส
“การป้องกันและปราบปรามการทุจริต จะต้องทำให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน และต้องทำตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่ประกาศเจตนารมณ์ หรือเป็นเพียงพิธีกรรม แต่จะต้องออกมาจากใจจริง” ผอ.พอช.กล่าวย้ำ
ผอ.พอช.กล่าวถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจจริตของสถาบันฯ ว่า ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ พอช.ทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารองค์กรตามหลักธรรมาภิบาล โดยพร้อมจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และจะปฏิบัติงานโดยยึดหลักผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ และยึดมั่นในคุณความดี 5 ด้าน คือ 1.ด้านความโปร่งใส จะเปิดเผยและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของหน่วยงาน การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง บริหารและสนับสนุนงบประมาณแก่ชุมชนด้วยความโปร่งใส เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมติดตามและตรวจสอบการดำเนินงาน
2.ด้านความรับผิด จะมุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ บริหารองค์กรด้วยความสุจริต และมีความรับผิดชอบต่อผลการปฏิบัติงานหากเกิดความผิดพลาดหรือความเสียหาย 3.ด้านความปลอดจากการทุจริตในการปฏิบัติงาน จะวางระบบการบริหารงานให้หน่วยงานปลอดจากการทุจริตเชิงนโยบาย การทุจริตต่อหน้าที่ การดำเนินการเพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
4.ด้านวัฒนธรรม คุณธรรมในองค์กร จะส่งเสริมสร้างอัตลักษณ์และภาพลักษณ์องค์กรด้านคุณธรรมและความซื่อสัตย์แก่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ 5.ด้านคุณธรรมการทำงานในหน่วยงาน จะเป็นแบบอย่างที่ดีด้านคุณธรรม เสริมสร้างความเป็นธรรมในการปฏิบัติงานและบริหารงานภายในหน่วยงาน
นายจักรกฤช ตันเลิศ ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง ป.ป.ช. กล่าวถึง เรื่องการทุจริตทางนโยบาย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากนักการเมืองร่วมกับข้าราชการ โดยยกตัวอย่างการทุจริตหลายโครงการ เช่น การทุจริตซื้อรถยนต์และเรือดับเพลิงของนักการเมืองรายหนึ่งมูลค่าความเสียหายเกือบ 7,000 ล้านบาท แต่นักการเมืองรายนี้หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ
กรณีการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ ซึ่งอดีตนักการเมืองรายหนึ่งได้ไปกว้านซื้อที่ดินป่าชายเลนกว่า 1,000 ไร่ ที่ไม่มีความเหมาะสมในการสร้างบ่อบำบัดฯ เนื่องจากพื้นที่เป็นดินเลน ระยะทางอยู่ห่างไกลจากเขตโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นที่ดินไม่มีโฉนด แต่นักการเมืองได้ร่วมกันทุจริต ปลอมแปลงเอกสาร แก้ไขระเบียบต่างๆ จนได้บริษัทที่ไม่มีประสบการณ์ในการสร้างโรงงานบำบัดน้ำเสียมาทำงาน ทำให้รัฐเกิดความเสียหายกว่า 20,000 ล้านบาท รวมทั้งถูกบริษัทเรียกค่าเสียหายหลายพันล้านบาท แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อไม่ให้เสียค่าโง่กว่า 9,000 ล้านบาท โดยเมื่อเร็วนี้ๆ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้รัฐต้องจ่ายค่าโง่ไปแล้ว
“ผู้ที่กระทำการทุจริต แม้ว่าจะหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ แต่ ป.ป.ช.ก็จะต้องตามยึดทรัพย์สินเพื่อนำมาชดใช้ให้แก่รัฐ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ร่วมกระทำความผิดก็จะต้องถูกยึดทรัพย์และดำเนินคดีด้วยเช่นกัน” ผอ. สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง ป.ป.ช. ยกตัวอย่าง
นอกจากนี้นายจักรกฤชยังกล่าวถึงกรณีการทุจริตโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interests) โดยยกตัวอย่างคำนิยามของ Sandra Williams ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า “การที่ผู้รับลงตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการได้เปิดโอกาสให้เงินหรือผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามามีอิทธิพลต่อหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องมีต่อสาธารณะ”
รวมทั้งยกตัวอย่าง เช่น นาย ก.เป็นคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานรัฐที่ต้องการซื้อกระดาษเอกสารจำนวนมาก ขณะเดียวกันนาย ก.ก็มีธุรกิจบริษัทที่จำหน่ายกระดาษเอกสารด้วย ซึ่งหากนาย ก.นำบริษัทเข้าไปประมูลงานซื้อกระดาษในหน่วยงานนี้ ซึ่งตนเป็นคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง ก็ถือว่าเป็นการการกระทำที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 152 ที่กำหนดว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์ตัวเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท”
นายจักรกฤชกล่าวย้ำในตอนท้ายว่า จากประสบการณ์ของตน การทุจริตมี 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.เงิน หรือความโลภ 2.ติดกับดักตำแหน่ง กลัวว่าจะไม่ได้ตำแหน่งหรือกลัวถูกย้ายจึงต้องทุจริต และ 3.ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ทำให้นำไปสู่การทุจริต ทั้งนี้ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยก็มีส่วนทำให้เกิดการทุจริต
“แนวทางการป้องกันการทุจริตที่ดี คือ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อสั่งการต่างๆ ซึ่งมีไว้เพื่อป้องกันการทุจริต ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องจึงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และต้องใช้หลักคุณธรรม เพื่อป้องกันการทุจริต” ผอ. สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง ป.ป.ช. กล่าวย้ำ
ทั้งนี้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2543 เป็นองค์กรของรัฐ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นองค์การมหาชนที่ทำงานสนับสนุนการพัฒนาของชุมชน โดยชุมชนเป็นแกนหลัก เป้าหมายเพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง แก้ไขปัญหาของตนเองได้
ผลงานที่สำคัญ เช่น การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย (โครงการบ้านมั่นคง บ้านพอเพียงชนบท การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว ฯลฯ) ส่งเสริมการจัดสวัสดิการชุมชน (กองทุนสวัสดิการชุมชน) การสร้างประชาธิปไตยจาก ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนฐานราก ฯลฯ ติดตามข้อมูลของ พอช.ได้ที่ WWW.codi.or.th
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |