'จากกฐินถึงพระทอล์กโชว์'


เพิ่มเพื่อน    

 

 

                คุย "เรื่องพระ-เรื่องวัด" กันซักวันดีมั้ย?

                ไม่ใช่อะไรหรอก.....              

                เมื่อวาน (๗ ต.ค.๖๓) เห็นมีคนนำเรื่องพระ-เรื่องวัดมาพรึ่บโซเชียลมีเดียและมีคนวิพากษ์-วิจารณ์กันมากมาย ก็เลยอยากคุยซักนิด

            เรื่องแรก เป็นเรื่องกฐิน ที่วัดท่าไม้ สมุทรสาคร ซึ่งเป็นวัดดัง ดาราขึ้นมาก นัยว่าเจ้าอาวาสนอกจากขมังทางไสยเวทแล้ว ยังดูหมอแม่น

            วัดท่าไม้ ก็เช่นเดียวกับวัดทั่วไป เมื่อออกพรรษา ก็มีญาติโยมนำกฐินมาทอด เมื่อวาน มีผู้นำภาพการทอดมาโพสต์เฟซ แต่ไม่ได้บอกทอดวันไหน

            เป็นภาพขบวนแห่กฐินเวียนรอบโบสถ์ มีผู้แต่งกายสวยงามร่วมพิธีมากมาย น่าปลื้ม-น่าอนุโมทนา

            จุดเด่นสะดุดที่พูดกันมาก........

            จะอยู่ตรงที่สุภาพสตรี "เจ้าภาพกฐิน" ขึ้นนั่งเสลี่ยงสีทอง ประดับพัดโบกซ้าย-ขวา มีคนหามแห่ ในการเวียนรอบโบสถ์

            ในขบวนนั้น มีพระภิกษุร่วมเดินตามหลังเสลี่ยงไปด้วย!

            คุณ "สุมินทร์ นารถเหนือ" ให้คำบรรยายเป็นบทกลอน ว่า

            #เป็นอยู่คือ...#กฐินเพี้ยน

                ...เพี้ยนมาตั้งแต่เพี้ยนหลักการ

                ที่เอาเงินหมื่น,แสน,ล้านเป็นตัวตั้ง

                ถ้าโยมคิดก็ยังพอจะรับฟัง

                แต่พระพาโยมพังนี้เจ็บใจ

                ...เพี้ยนนี้เพี้ยนต่อไปยิ่งหนักข้อ

                นี้เอาวอหามหญิงให้ยิ่งใหญ่

                เหตุเพราะหญิงมอบล้านทานปัจจัย

                พระยอมให้หญิงนำกำมะลอ

                ...ยอมเสียศักดิ์ศรีความเป็นพระ

                ยอมสละหลักการเพื่อไปต่อ

                โหมวัตถุนิยมแบบไม่พอ

                แล้วจะเก็บหลักการ"พ่อ"ไว้ที่ใด

                ครับ....

            ผมเห็น ก็พอเข้าใจ คือเข้าใจในคำว่า "กุศลเจตนา" ของทุกฝ่าย ทั้งท่านเจ้าภาพ ทั้งพระ และทั้งผู้เขียนบทกลอนนี้

            เป็นความจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับกัน เรื่องการทอดกฐิน ชาวบ้านร้อยละ ๘๐-๙๐ กระทั่งพระ "บางวัด-บางรูป" ก็เถอะ ยังไม่รู้-ไม่เข้าใจ ว่าหัวใจการทอดกฐินอยู่ตรงไหน?

            มักจะเน้น "จำนวนเงิน" จนเป็นบุญค่านิยมว่า การจะได้บุญมาก ได้หน้า-ได้ตามาก วัดจากจำนวนเงินที่จะถวายวัด

            โดยไม่สนใจใคร่รู้ มีข้อห้าม-ข้ออนุญาตอย่างไร ในการทอดกฐิน โดยกฐินนั้น ถูกตามพระวินัย ไม่ตกไป คือไม่โมฆะ

            ในเมื่อช่วงนี้ เป็นช่วงกฐิน......

            วันๆ ก็มีแฟนๆ โพสต์งานกฐินมาให้อนุโมทนามากมาย ผมก็อนุโมทนาสาธุกับทุกท่าน-ทุกรายไป

            เมื่อมีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้น ใช้เป็นกรณีศึกษาร่วมกันซะเลย ต่อไปทั้งพระ-ทั้งโยม จะได้ไม่ผิดเพี้ยน  กฐินทานจะได้อานิสงส์สะพรั่งพร้อม

            ผมเองก็รู้แบบครึ่งๆ-กลางๆ ไปศึกษาหาอ่าน ก็พบจากเว็บ "มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา" ที่มีผู้เขียนไปถาม

            มีผู้ตอบไว้ ซึ่งเขาเรียบเรียงตามกรอบพระวินัย อ่านเข้าใจง่าย โดยผู้ใช้นามว่า paderm ก็ประมาณนี้

            เรื่องของกฐิน......

            เป็นเรื่องละเอียด พระภิกษุและคฤหัสถ์ควรปฏิบัติอย่างถูกต้อง ด้วยการศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อเป็นการดำรงรักษาพระศาสนาไว้

            คำว่า "กฐิน" มี ๒ ความหมาย คือ กฐินเป็นชื่อไม้สะดึงสำหรับขึงผ้าให้ตึง เป็นอุปกรณ์ช่วยในการเย็บผ้า

            "กฐิน" ตามพระวินัยหมายถึง "ผ้า" ซึ่งเป็นผ้าสำหรับครองของพระภิกษุ เป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในบรรดา ๓ ผืน

            "กฐิน" เป็นการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์

            ที่มาของกฐิน คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป ซึ่งมีความประสงค์จะมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่วิหารพระเชตวัน 

            ตอนนั้น ใกล้ช่วงเข้าพรรษา ไม่สามารถเดินทางให้ทันวันเข้าพรรษาในพระนครสาวัตถี ก็เลยอยู่จำพรรษาตามพระวินัย ณ เมืองสาเกต  

            เมื่อออกพรรษา ก็เดินทางต่อทันที ในช่วงนั้น ฝนยังไม่หมด ทำให้จีวรเปียกชุ่มด้วยน้ำ เกิดความลำบาก 

            พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภในเรื่องนี้ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว ทำการ "กรานกฐิน" เพื่อเปลี่ยนผ้าในช่วงจีวรกาล  

            ระยะเวลาในการถวายกฐิน มีระยะเวลา ๑ เดือน คือ หลังออกพรรษาแล้ว ตั้งแต่วัน แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒

            จะเห็นนะครับว่า เรื่องกฐิน เป็นเรื่องของผ้าเท่านั้น 

            ไม่เกี่ยวกับเงินทองเลย 

            เพราะเหตุว่า เงินทองเป็นสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ คือ สิ่งไม่เหมาะสมกับเพศบรรพชิต

            "กฐิน" เป็นสังฆกรรมของพระภิกษุทั้งหลาย โดยบริษัททั้ง ๔ หรือแม้แต่เทวดา ก็ถวายผ้ากับสงฆ์และก็มีการทำกรานกฐิน โดยเป็นวินัยของสงฆ์ครับ

            ดังนั้น การ "แจกซองกฐิน" จึงไม่ถูกต้องตามกฐินในพระธรรมวินัยที่เป็นเรื่องของการถวายผ้าแด่พระภิกษุเท่านั้น ไม่มีเงินและทองมาร่วมด้วย ไม่มีบริวารกฐินที่เป็นเงินทองเลย

            และการสร้างศาสนวัตถุ ก็ไม่ควรนำกฐินมาเกี่ยวข้อง เพราะกฐินเป็นเรื่องของผ้าเท่านั้น 

            ดังนั้น ถ้าจะให้สร้างศาสนวัตถุ ก็บอกไปโดยตรงว่า ร่วมเรี่ยไรกันสร้างศาสนวัตถุ แต่ไม่ใช่นำเอาเรื่องกฐินมาปนโดยการเรี่ยไรเงิน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกฐินเลย

            ดังนั้น เมื่อคฤหัสถ์มีการเรี่ยไรด้วยการอ้างกฐิน ก็เท่ากับมีความเข้าใจผิดในพระธรรม 

            พระศาสนาก็จะเสื่อมไปเรื่อยๆ เพราะผิดพระวินัยที่พระองค์บัญญัติไว้นั่นเอง 

            และหากพระภิกษุในวัด ขอให้การทำกฐิน โดยไปบอกกับคฤหัสถ์ก็ผิดเช่นกัน ไม่เป็นกฐิน เพราะกฐินไม่ใช่การรวบรวมเงินมาทำที่วัด เพราะเงินไม่ใช่สิ่งที่สมควรกับพระภิกษุ

            ที่ถูกต้องต่อไปที่ควรจะทำ คือ.......

            ไม่ควรเอาคำว่ากฐิน มาเกี่ยวข้องในการเรี่ยไรเงินในการสร้างศาสนวัตถุ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฐิน

            การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องและเปลี่ยนตามสิ่งที่ถูกต้อง ย่อมจะรักษาพระศาสนา รักษาพระภิกษุไม่ให้ต้องอาบัติ

            และรักษาจิตใจของเราเอง คือ รักษาให้ตั้งมั่นในสัจจะ ความจริง ความตรง และความถูกต้อง ไม่เปลี่ยนไปตามความเข้าใจผิดที่เป็นค่านิยมใหม่  

            เมื่อสะสมความตรงอย่างนี้ ที่จะเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่ถูก สิ่งที่มีค่าที่ได้ คือ การสะสมสิ่งที่ดี คือ ความเป็นผู้ตรง

            เมื่อเกิดในชาติหน้า ในยุค-สมัยใด ก็จะไม่เอนเอียงตามสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นผู้ที่ได้สะสมความเห็นถูกและความเป็นผู้ตรงมา นี่คือ ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม.

            ความก็มีเท่านี้....

            คงพอเข้าใจเจตนาการ "ทอดกฐิน" กันแล้วนะ ประเด็นหลักที่ขอย้ำ

            พระที่จำพรรษาวัดนั้นๆ จะเที่ยวไปชักชวน จะด้วยการออกปาก ด้วยทำหนังสือ หรือส่งซิกแนล ให้ญาติโยมนำกฐินมาทอดที่วัดตัวเอง ไม่ได้เด็ดขาด

            "ผิดพระวินัย" ทอดไปก็ไม่นับเป็นกฐิน คือโมฆะ!

            และวัดที่จะนำกฐินไปทอด วัดนั้น ต้องมีพระจำพรรษา ครบไตรมาส คือ ๓ เดือน ๔ รูปขึ้นไป

            ส่วนพระจะนำกฐินหรือร่วมขบวนกฐินไปทอดที่วัดอื่น ไม่ถือว่าผิดพระวินัย คือทำได้

            ส่วนเรื่องเงินเข้าวัดนั้น มันเป็นทั้งประเพณีนิยมและพระ (บางวัด) นิยมไปแล้ว

            ก็แยกส่วนกันให้ดีละกัน เอาเป็นว่า ผ้ากฐิน สำหรับพระสงฆ์ สุดแต่หมู่สงฆ์จะไปตกลงกันว่าจะให้รูปใดครอง

            ส่วนเงิน เป็นเรื่องกุศลเจตนาญาติโยม รวบรวมมาสำหรับวัด เพื่อใช้ทำนุบำรุง ดูแลรักษา ซ่อม-สร้าง ศาสนสถาน

            แต่พระก็ไม่ควรแนะนำให้ญาติโยมขึ้นวอ-ขึ้นเสลี่ยงหามเวียนรอบโบสถ์อย่างปรากฏที่วัดท่าไม้

            ก็งามแหละ แต่ "ด้านเหมาะ-ด้านควร" มันไม่เหมาะ-ไม่ควร!

            นี่เรื่องวัด...

            ที่ปรอทโซเชียลแตกเมื่อวาน ยังมีเรื่องพระที่ชื่อพระมหาสมปอง พระคุณเจ้าปล่อยคลิปด้วยมุก "หยิก-ตบ-กัด" รัฐบาล เรื่องงบซื้อเรือดำน้ำและอีกหลายเรื่อง

            มีคนเมนต์กันทะลุผ้าเหลือง ความจริง เท่าที่รู้ ท่านเป็นพระมีค่ายสังกัด มีผู้จัดการจัดคิวทอล์กโชว์ให้ตามงานที่จ้าง

            ที่รู้ เพราะพระคุณเจ้าชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง เคยปรารภกับผมหลายปีมาแล้ว แต่กับพระ "ผมมิกล้า"

            ถึงไม่เห็นกับศีรษะโล้น แต่ก็เห็นกับผ้าเหลือง!

            เป็นที่เข้าใจตามที่ท่านแสดงตัวตน ว่าเป็นพระสายนิยมฝ่ายประชาธิปไตย ปล่อยคลิปสองแง่-สองง่ามบ้าง ง่ามเดียวแทงทะลุก้นโยมตู่บ้าง ออกมาเป็นระยะ

            ท่านคงไม่อยากเป็นศิษย์ตถาคต อยากเป็นศิษย์ โน้ส-อุดม, โรเบิร์ต สายควัน, หนู เชิญยิ้ม ก็อย่าไปขวางทางย่ามท่านเลย

            สวรรค์ใคร-สวรรค์มัน ขึ้นแทนกันไม่ได้ ฉันใด  

            นรกก็ ฉันนั้น.......

                นิมนต์พระคุณเจ้าสมปองล่วงหน้าไปก่อนเลยครับ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"