‘หนึ่งภาพ แทนความหมาย’ สะเทือนมาถึงพรรคเพื่อไทย เป็นเหตุให้ต้องมีการปรับโครงสร้างพรรคครั้งใหม่ ครั้งใหญ่ ล้างขั้ว คณะผู้บริหารพรรคชุดเดิมที่เคยทำหน้าที่มาร่วม 2 ปี ในสายเจ๊หน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ถูกริบอำนาจ ทีมงานทยอยลาออกจากคณะกรรมการชุดต่างๆ และแม้แต่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่เคยเป็นคณะกรรมการหลักของพรรคในการขับเคลื่อน กำหนดทิศทาง ทำท่าจะไม่อยู่ในสารบบโครงสร้างการบริหารชุดใหม่

            กระแสการ เขย่า เร็วและเด็ดขาด ในตึกโอเอไอว่า ถูกพูดกันปากต่อปากอย่างหนาหู หญิงอ้อ-คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ แท็กทีมแดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์, ปู-ยิ่งลักษณ์ เข้ามามีบทบาทอย่างมาก

            ในภาวะ เพื่อไทย-ชินวัตร เข้าสู่ Safe zone มากขึ้น ผลพวงทางคดีทั้งในส่วนของนายใหญ่ นายหญิง สายเลือดโดยตรงชินวัตร ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจ ประกอบกับช่วงเวลาสุดารัตน์และเหล่าทีมงานบริหารงาน ก็มีทั้งในส่วนที่ถูกเตะสกัด ขัดขวางจริง

            ขณะเดียวกัน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการบริหารงาน ไม่อาจพาเพื่อไทยไปถึง ‘เป้า’ ตามที่เจ้าของพรรควาดฝัน มิอาจทำให้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นในพรรคได้อย่างแท้จริง แกนนำกลุ่มขั้วอำนาจสายตรงนายใหญ่ นายหญิง คุณแดง คุณปู ถูกลดบทบาทลง บางคนไม่พอใจหนัก ประกาศวางมือการเมือง บางคนไม่เข้ามาเหยียบเพื่อไทยอีกเลย บางคนก็ยังจำต้องทนทำงานเพราะถูกขอให้ช่วยประคองพรรค บางคนก็แยกก๊กไปตั้งกลุ่มก๊วนทางการเมืองเอง

            จากการบริหาร ‘ผู้ได้รับมอบอำนาจเต็ม’ ไม่ได้ผล เลยต้องเปลี่ยนสู่ยุค ‘ออกมาเล่นเอง’ ทำให้ ‘ตัวแทน’ เก็บฉาก ปล่อยให้ ‘ตัวจริง’ เข้ามาทำหน้าที่

            คณะกรรมการบริหารพรรคทั้ง 24 คน ถูกกระจายไปตามมุ้ง ตามโควตา แบ่งสัดส่วนคนรุ่นใหม่ผู้มีประสบการณ์อย่างลงตัว สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ กลับมาเป็น หัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้านดังเดิม ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา ที่มีสายสัมพันธ์อันดี เฮียเพ้ง-พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เข้ามาเป็นเลขาธิการพรรคในกลุ่มโควตาอีสาน

            ขณะที่ เสี่ยท็อป-จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ นพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา คุณากร ปรีชาชนะภัย ส.ส.สุรินทร์ คนรุ่นใหม่ไฟแรง ก้าวมาเป็นรองเลขาธิการพรรค เมื่อแกะรอยในสายสัมพันธ์ พอจะเห็นถึงความใกล้ชิด โยงใยอะไรอย่างชัดเจน

            แม้จะมีการบอกว่า คณะกรรมการบริหารพรรคทั้ง 24 คน จะใช้อำนาจเต็มในการบริหารพรรคก็ตาม กรรมการยุทธศาสตร์พรรคจะไม่อยู่ในสารบบโครงสร้างใหม่ แต่อาจจะมีการตั้งคณะผู้บริหารพรรคผู้มีอำนาจเต็ม หรือโปลิตบูโร เข้ามาทำหน้าที่แทน

            ในเอกสารข้อบังคับพรรคเพื่อไทย ส่วนที่ 4 ในส่วนคณะผู้บริหารพรรค ข้อ 58 ระบุชัด เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานพรรค คณะกรรมการบริหารอาจแต่งตั้งสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินสิบเอ็ดคน เป็นคณะผู้บริหาร ให้หัวหน้าพรรคเป็นประธานคณะผู้บริหารและเลขาธิการพรรคเป็นเลขานุการคณะผู้บริหาร

            ข้อ 59 วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะผู้บริหารให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการบริหารกำหนด

            ว่ากันว่า คณะผู้บริหารพรรคชุดนี้แหละคือของจริง ตัวจริง เป็นการบริหาร Top to down หรือบนลงล่าง ‘คณะผู้บริหารพรรค’ คือผู้กำหนดชะตากรรม ทิศทาง นโยบายของพรรคอย่างแท้จริง กล่าวคือ เมื่อคณะทำงานชุดใหญ่ได้ข้อสรุป จะเคาะลงมาให้คณะกรรมการบริหารพรรคอนุมัติ แจกจ่ายงานไปสู่ ส.ส. คณะทำงานชุดต่างๆ นำไปสู่การปฏิบัติอีกทอดหนึ่ง

            แม้แนวคิดนี้จะถูกคนในพรรคตั้งวงเสวนากันเอง วิพากษ์ให้เห็นทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่บทสรุปสุดท้าย ในเมื่อยังไม่ได้ลองปฏิบัติ ใช้งาน เลยยังไม่รู้ว่าท้ายสุดแล้วเวิร์ก-ไม่เวิร์กอย่างไร 

            แม้ในวันนี้จะยังไม่เห็น โฉมหน้า คณะผู้บริหารพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ยังเรียกประชุมไม่ได้ ต้องรอให้กรรมการการเลือกตั้งรับรองอย่างเป็นทางการเสียก่อน ถึงเริ่มทำหน้าที่ได้ มีการคาดการณ์กันว่า ภารกิจแรกจะมีการตั้งคณะผู้บริหารพรรคขึ้นมาทันที ที่เต็มไปด้วยตัวจริง ตัวแทนเสมือนจริง ถูกจัดวางเข้ามาทำหน้าที่ กำหนดทิศทาง ความเป็นไปของพรรค

            ส่วนจะเป็นใครบ้าง คณะกรรมการชุดนี้จะมี 7 คน 9 คน หรือ 11 คน ยังต้องตามติดกันต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์เปลี่ยน ทิศทางเปลี่ยน เลยได้เห็นเพื่อไทยในบริบทใหม่ แต่ ผู้กำกับยังเป็นคนเดิม และท้ายที่สุด เพื่อไทยในยุค ตัวแทนถอยฉาก ตัวจริงเข้ามาแทน จะนำพาพรรคไปในทิศทางใด ทวงคืนความยิ่งใหญ่ เหมือนไทยรักไทยในอดีตได้หรือไม่ ยังเป็นอะไรที่น่าจับตามอง

            ซีรีส์ว่าด้วย อำนาจ แย่งชิง เกมการเมือง ยังไม่ได้ บทสรุป การปรับทัพรอบนี้ ปรับเพื่อรอวันเปลี่ยน ในสถานการณ์สมมุติ ถ้ามีการเลือกตั้ง ในวันที่ได้เห็นแคนดิเดตนายกฯ ตัวจริงนั่นแหละ ถึงจะได้คำตอบ ก้าวย่าง อันแท้จริงของ พท. พจมาน ทักษิณ party.