โพลล่าสุดของ CNN บอกว่า หลังดีเบตระหว่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" กับ "โจ ไบเดน" และเมื่อทรัมป์ติดโควิดแล้ว คะแนนประชานิยมของไบเดนทิ้งห่างทรัมป์มากขึ้นไปอีก
ให้ไบเดน 57% ให้ทรัมป์ 41%
แน่นอนว่าทรัมป์จะต้องเรียกโพลนี้ว่าเป็น Fake Poll ที่รายงานโดย Fake News
และด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ทรัมป์ต้องรีบออกจากโรงพยาบาล Walter Reed เมื่อเช้าวันอังคาร (เวลากรุงเทพฯ) หลังจากเข้ารับการรักษาเพียง 3 วัน
ทรัมป์ประกาศก่อนออกจากโรงพยาบาลไม่กี่ชั่วโมงว่า "ผมรู้สึกดีมากกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนด้วยซ้ำ...ไม่ต้องกลัวโควิด อย่าให้มันครอบงำชีวิตคุณ"
และสำทับด้วยทวีตที่ว่า "ผมกำลังจะกลับสู่การรณรงค์หาเสียงในเร็วๆ นี้"
จริงหรือ? คณะแพทย์จะยอมให้ทรัมป์ออกไปหาเสียงด้วยตนเองหรือ ไม่กลัวจะไปแพร่เชื้อให้ใครต่อใครจนตัวเองกลายเป็น Super-Spreader หรือ?
ผมกำลังเกาะติดข่าวว่าทรัมป์กับไบเดนจะดีเบตกันรอบสองหรือไม่ หรือจะเลื่อนไปอีกวันหนึ่ง และถ้าเลื่อนจะปรับรูปแบบอย่างไร
และหากเจอกันอีกรอบทรัมป์จะคุยไหมว่า "เห็นไหม โควิดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ไบเดนกล่าวอ้าง ผมพิชิตมันมาแล้ว..."
ไบเดนจะเตรียมประณามทรัมป์เรื่องติดโควิด เรื่องนั่งรถเวียนรอบโรงพยาบาลเพื่อทักทายผู้สนับสนุน และการรีบร้อนออกจากโรงพยาบาลหรือไม่อย่างไร
สองคนนี้จะแย่งกันพูดจนกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งมากกว่าการดีเบตนโยบายอีกหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดจากนี้ไป
เพราะเหลือเพียง 26 วันก็จะถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้งสหรัฐฯ แล้ว
ในโพลของ CNN นี้เขาแยกลงรายละเอียดในแต่ละหัวข้อ ว่าคนที่ถูกถามชอบหรือไม่ชอบสองคนนี้อย่างไรด้วย เช่น
เรื่องจัดการโควิด ไบเดนกับทรัมป์ได้ 59-38%
เรื่องนโยบายประกันสุขภาพ 59-39%
ประเด็นความเหลื่อมล้ำด้านสีผิว 62-36%
การเสนอชื่อผู้พิพากษาศาลสูงสุด 57-41%
อาชญากรรมกับความปลอดภัย 55-43%
ความสามารถในการบริหารวิกฤติเศรษฐกิจ 50-48%
พอถามว่ามี "ความประทับใจที่ดี" กับสองคนนี้อย่างไร ไบเดนได้ 52% ขณะที่ทรัมป์ได้ 39%
บทวิเคราะห์ของ CNN จากโพลนี้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ไบเดนได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นไม่ได้สะท้อนถึงการลดน้อยถอยลงของความนิยมต่อทรัมป์
หมายความว่าคนที่เป็นแกนหลักที่สนับสนุนทรัมป์ก็ยังคงสนับสนุนต่อไป และเผลอๆ จะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่นคนผิวขาวที่ไม่มีปริญญา เปอร์เซ็นต์คนสนับสนุนเพิ่มจาก 61% เมื่อเดือนกันยายนมาเป็น 67% วันนี้ด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกันทรัมป์ไม่ได้เสียงเพิ่มขึ้นในหมู่คนที่เขาจำเป็นต้องได้มาเพื่อลดเปอร์เซ็นต์ของคนที่เชียร์ไบเดนเพิ่มขึ้น
พูดง่ายๆ คือฐานเสียงทรัมป์เดิมยังค่อนข้างเหนียวแน่น แต่ก็ยังไม่สามารถขยายฐานให้กว้างขึ้นเพื่อสกัดการเพิ่มขึ้นของคะแนนนิยมไบเดน
แต่ใครจะเป็นประธานาธิบดีจะต้องดูกันที่ Electoral College หรือคณะเลือกตั้งจากแต่ละรัฐ ไม่ใช่ดูจาก Popular Votes หรือคะแนนรวมของผู้ใช้สิทธิ์ทั้งหมด
โพลเรื่อง Electoral College ก็ทำกันหลายสำนัก
ที่ผมติดตามอยู่ก็คือของ Financial Times ของอังกฤษที่ล่าสุดให้ไบเดนได้ 279 และทรัมป์ 125
คนที่จะชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีจะต้องได้ Electoral College 270 เสียงขึ้นไป
รัฐที่จะตัดสินว่าใครจะแพ้หรือชนะอยู่ที่ประมาณ 8-9 รัฐที่เรียกว่า Battleground States หรือ "รัฐสมรภูมิ"
ผลโพลของรัฐ Pennsylvania และ Wisconsin (ที่ซึ่งทรัมป์ชนะฮิลลารี คลินตันอย่างเฉียดฉิวในปี 2016) วันนี้แสดงภาพว่าไบเดนนำทรัมป์อยู่ 5 และ 6 จุดตามลำดับ
รัฐ Arizona และ Ohio นั้นกำลังอยู่ในภาวะ "หายใจรดต้นคอ" อย่างรุนแรง
ที่ Arizona นั้นตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ผู้สมัครประธานาธิบดีพรรคเดโมแครตคนเดียวเท่านั้นที่เคยเอาชนะรีพับลิกัน
เมื่อปี 2016 ทรัมป์ชนะฮิลลารีที่ Ohio ถึง 8 จุด
จึงเป็นสองรัฐที่ไบเดนต้องชนะทรัมป์ใสๆ จึงจะมั่นใจได้ว่าจะโค่นทรัมป์ได้สำเร็จ
รัฐอื่นๆ ที่ตัดสินชะตาของทั้งสองคนคือ North Carolina, Florida และ Texas
โพลล่าสุดสะท้อนว่า ในรัฐเหล่านี้คะแนนนิยมของทรัมป์กับไบเดนทิ้งห่างกันไม่เกิน 5%
นั่นแปลว่า ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งอุณหภูมิการเมืองยิ่งจะร้อนปรอทแตกแน่นอน!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |