6 ต.ค.63- นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย อดีตนักโทษความผิดม.112 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Somyot Pruksakasemsuk ว่า น้ำตาไหลอีกแล้ว
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องสูญเสียน้ำตาอีกครั้ง เราสองคนพ่อ-ลูกตกอยู่ในสภาพของความสูญเสียคนรักอันเนื่องมาจากการเมืองอำมหิต ไม่เคยบอกใครเรื่องนี้มาก่อน เพราะอยากจะให้เวลาได้ปลอบประโลมและเยียวยาความเจ็บปวดในครั้งนี้ จนกระทั่งลูกสาวคนนี้ตัดสินใจบอกเรื่องราวของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ หรือต้าร์ ให้กับมูลนิธิกระจกเงา
ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา
3 ตุลาคม เวลา 20:25 น. •
“เจอพี่ต้าร์ครั้งแรกเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมีการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ หนูได้ไปทำงานเป็นทีมแคมเปญของผู้สมัครท่านหนึ่ง แล้วได้เจอกันที่นั่น พี่ต้าร์เขาเป็นทีมดาต้า ทำข้อมูลอะไรพวกนี้ ก็รู้สึกว่า เขาเป็นรุ่นพี่ในที่ทำงานที่น่าเคารพ แล้วมันตลกมาก คือ หนูเป็นเด็กที่สุดในนั้น เหมือนเด็กฝึกงาน พวกพี่ๆเขาก็ไปกินข้าวด้วยกัน ก็เหลือหนูอยู่คนเดียว แล้วพี่ต้าร์เขาเข้างานไม่เป็นเวลา ส่วนใหญ่มาทำงานตอนเที่ยง ก็เจอหนูอยู่คนเดียว พวกพี่ๆเขาก็เแซว ก็เชียร์ บอกต้าร์พาน้องไปกินข้าวสิ เขาก็มาเทคแคร์มาจีบ
.
“พ่อหนูติดคุกคดีอาญามาตรา 112 ตอนหนูเรียนมัธยม ทำให้ตัวหนูเริ่มสนใจเรื่องการเมือง หนูก็ชอบคนที่สนใจเรื่องการเมืองเหมือนกัน แล้วพี่ต้าร์เขามีภาวะผู้นำ เป็นคนมีความรู้ กล้าแสดงออกมีความเป็นผู้ใหญ่ อายุเราห่างกัน 12 ปีนะ แต่เขาสามารถเข้าสังคม เข้ากับเพื่อนๆหนูได้ เพื่อนๆ รู้จักพี่ต้าร์กันหมดเลย แล้วคนอื่นอาจมองว่า พี่ต้าร์เป็นคนร่าเริง เข้ากับคนง่าย แต่สำหรับหนู เขาเป็นคนร่าเริงเกินคนทั่วไป เบอร์ใหญ่มาก สามารถเข้าหาได้ทุกคน ทุกแบบ นั่นคือตัวเขา
.
“จริงๆ พี่ต้าร์ก็มีมุมอื่นที่คนไม่ค่อยเห็น มีจุดเศร้า เหนื่อย ท้อ เสียใจ เขาไม่ค่อยแสดงออกกับคนอื่นแต่หนูได้เห็น ถ้ามีใครเห็นมุมนี้ของเขา นั่นคือ ความเศร้าที่เขายังพอโอเคกับมัน แต่สำหรับหนู เมื่ออยู่ด้วยกัน มันเป็นความเศร้าในเวอร์ชั่นร้องไห้ด้วยกันสองคน โดยเฉพาะช่วงปี 2019 มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเราทั้งคู่ เมื่อความสัมพันธ์มันไม่สามารถเดินหน้าไปยังอนาคตที่เป็นครอบครัวได้
.
“หนูรู้สึกไม่อยากไปต่อแล้วนะ หนูบอกเขาว่าหนูไม่โอเคแล้ว หนูอยากเห็นอนาคตที่เป็นรูปธรรม อยากสร้างครอบครัว พี่ต้าร์ก็ร้องไห้ เขาก็เสียใจที่ทำให้เราไม่ได้ ยังไงก็ทำให้ไม่ได้ ด้วยสถานะที่เป็นอยู่ ด้วยเหตุผลทางการเมืองนี่แหละ มันหาทางออกไม่ได้ หนูอยากมีอนาคต มีครอบครัวแบบปกติทั่วไป หนูก็มีความฝันของตัวเอง ความเป็นผู้ลี้ภัยของเขามันต้องเสียสละอยู่ตลอด
.
“ก่อนหน้านั้น หนูไปใช้ชีวิตกับพี่ต้าร์ที่นั่นมาปีสองปีเลยนะ ตอนนั้นไปเรียนปริญญาโทเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฝรั่งเศสกับกัมพูชา ในประเด็นเอเชียศึกษาประวัติศาสตร์เขมรโบราณ ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเลย การเป็นผู้ลี้ภัยตามความหมายในแต่ละคนมันแตกต่างกันนะ ขึ้นอยู่กับว่าคนถามว่าเป็นใคร มันมีทั้งผู้ลี้ภัยแบบเป็นทางการ และแบบที่ไม่เปิดเผย มันมีรายละเอียดในแต่ละเคส ซึ่งก็คือคนที่ไม่มีสิทธิทางพื้นที่อย่างแท้จริง ไม่สามารถเลือกที่อยู่ในไทยได้ ต้องออกจากประเทศตัวเองแล้ว มันต้องไปรอประเทศที่สอง ก่อนที่จะได้ไปประเทศที่สาม ผู้ลี้ภัยที่ยังติดอยู่ประเทศที่สอง รอการไปประเทศที่สาม ยังมีเยอะมาก บางคนอาจไปได้แต่ก็เลือกที่จะไม่ไป เพราะเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในแถบนี้ บางคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ การจะใช้ชีวิตในยุโรปมันก็ไม่ง่ายนัก ยังมีอาชีพที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง การอยู่ใกล้ประเทศไทยมันก็ง่ายต่อการใช้ชีวิต
.
“หนูคิดว่าที่พี่ต้าร์ ไม่ยอมไปประเทศที่สาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวหนูด้วย สมัยก่อนตอนที่ยังไม่ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่นั่น หนูบินไปหาเขาเกือบทุกเดือน พี่ต้าร์เคยถามหนูว่า ถ้าย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสเราจะยังไงกันต่อ ก็ทะเลาะกันเลย เพราะการจะได้เจอกันมันคงไม่ง่ายนักแบบที่เขมร เขาเคยบอกนะว่าที่พี่ยังอยู่ที่นี่ก็เพราะเรานั่นแหละ อีกส่วนหนึ่งคือ เขารู้สึกใกล้ชิดกับเพื่อนกับครอบครัว อยู่ที่นั่นมันง่าย แล้วพี่ต้าร์เขาชอบกินอาหารแถบเอเชีย เขาไม่ชอบกินอาหารยุโรปเลย
.
“พี่ต้าร์เขาค่อนข้างมั่นใจ ว่าเขาอยู่ที่นั่นได้ ไม่ได้อันตรายอะไร คิดว่าไม่มีอะไร แต่เราเคยคิดกันนะ ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้จะทำยังไง แต่มันก็พูดก็คิดกันแบบขำๆ เพราะคิดว่ามันไม่มีอะไร แต่แล้วมันก็เกิดขึ้น หนูรู้จักพี่ต้าร์ดีมากที่สุดคนหนึ่งนะ หนูเคยอยู่กับเขา อยู่ที่คอนโดที่เขาหายไป หนูจินตนาการเรื่องอื่นไม่ออกเลยว่าเขาจะหายไปจากการหนีไปเองหรือเรื่องส่วนตัวได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่การถูกอุ้ม
.
"ตอนที่หนูรู้ข่าวว่าพี่ต้าร์หายไป หนูก็งงไปหมด ไม่รู้จะโทรให้ใครช่วย การหายไปของพี่ต้าร์ มันส่งผลกระทบต่อตัวหนู แม้เราจะบอกเลิกกันไปแล้ว หนูต้องกลับไปพบจิตแพทย์ นอนไม่หลับ หลับก็ฝันถึงเขา บางทีก็มีร้องไห้ออกมา มันส่งผลกระทบต่อแนวคิดในการใชัชีวิตของหนูเลย เหมือนมีหลุมดำบางอย่างในชีวิต
.
“บางทีลึกๆ เคยหวังว่าจะได้เจอกันอีก ถ้าเราเลิกกันแล้ว หนูก้าวเดินไปข้างหน้าได้ มันคงดีกว่านี้ แต่มันคือการบอกเลิกที่ยังมีเยื่อใยต่อกัน ลึกๆยังรักและห่วงเขา แต่มันบอกเขาไม่ได้แล้ว เขาไม่อยู่แล้ว หนึ่งเดือนก่อนเขาหายไป ยังได้คุยกัน พี่ต้าร์ถามว่า ถ้าเขาได้กลับมาประเทศไทย เราจะกลับมาคบกันเหมือนเดิมได้มั้ย หนูตอบกลับไปว่ารอให้วันนั้นมาถึงก่อนเถอะ ก็เสียใจที่มันเป็นบทสนทนาสุดท้ายแบบนั้น มันไม่ใช่อนาคตที่เราเดินออกมาเพื่อตามหา มันไม่มีแล้ว
.
“ช่วงที่เลิกกันจนถึงวันที่เขาหายไป มันเป็นเวลาที่หนูเสียดายนะ แต่มันก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ มันมีแต่สิ่งที่คิดว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าคิดให้มากกว่านี้ ถ้าๆๆ... แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้เลย เอาจริงๆหนูไม่คิดว่าจะได้เจอเขาแล้วนะ แต่หนูจะไม่พูดกับคนที่กำลังมีความหวังแบบนี้นะ แค่หนูไม่อยากเป็นคนที่เฝ้ารออะไรแบบนี้ มันทรมานมากนะ ถ้าไม่คิดแบบนี้ หนูคงยืนอยู่ไม่ได้แล้ว ไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อีกแล้ว ถ้าต้องอยู่บนความหวังว่า เขายังอยู่และรอเพื่อจะได้กลับมาเจอกัน
.
“หนูอยากให้ผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ได้มีวันข้างหน้าที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่แบบนี้ อยากให้เขามีชีวิตที่ดี อยากให้เขาอย่างน้อย ๆ มีสิทธิ์เลือกที่จะอยู่ที่ไหนก็ได้ที่เขาอยากอยู่ อยากเห็นทุกคนได้กลับมาสู้ด้วยกัน ถ้าทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตามันจะดีกว่านี้ อยากให้พวกเขาได้กลับบ้าน หนูไม่อยากให้มีใครต้องถูกอุ้มหายไปอีก ไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีก หนูรู้สึกสูญเสียช่วงวัยเยาว์ สูญเสียความฝันทุกอย่างไปเลย”
——
-ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข -
อดีตคนรักของต้าร์ วันเฉลิม
——
#พรุ่งนี้จะครบรอบสี่เดือนเต็มที่ต้าร์หายไป
คนหาย
ชื่อ :นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
ชื่อเล่น : ต้าร์ อายุ : 38 ปี
สัญชาติ : ไทย
สถานะ: ผู้ลี้ภัยทางการเมือง
วันที่หาย : 4 มิถุนายน 2563 เวลา 16.40 น.
สถานที่หาย : กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
สาเหตุการหาย : คาดถูกบังคับให้สูญหาย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |