28ก.ย.63-นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมหารือการแก้ปัญหาผู้ปกครองร้องเรียน กรณีที่เจ้าหน้าที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ทำร้ายนักเรียน ว่า จากการรับฟังปัญหาที่เกิดจากโรงเรียนและผู้ปกครอง ซึ่งโรงเรียนยอมรับผิดทุกอย่าง และขณะนี้ผู้ปกครองรู้สึกพอใจระดับหนึ่ง โดยตนได้สั่งการให้คณะทำงานของตนเข้าไปช่วยประสานการดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเยียวยา หรือการดำเนินคดีต่างๆ ซึ่งทางโรงเรียนพร้อมจะเยียวยาผู้ปกครองและเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ส่วนมาตรการป้องกันและการวางแนวทางการรับผู้ช่วยครูเด็กเล็กของโรงเรียนเอกชนนั้น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) มีมาตรการอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีพอ ซึ่ง ศธ.พร้อมปรับปรุงแก้ไขให้มีมาตรฐานต่อไป ขณะที่ครูต่างชาติที่สอนภาษาต่างประเทศมีการทำร้ายเด็กด้วยนั้น
เตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบต่อไป เช่น ว่าเดินทางเข้าเมืองถูกต้องหรือไม่ และมีใบอนุญาตประกอบการสอนสำหรับครูต่างชาติหรือไม่ เป็นต้น ดังนั้นหากครูต่างชาติทำผิดจริงจะประสานสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ให้ดำเนินความผิดต่อไป ทั้งนี้มีเด็กเล็กในโรงเรียนดังกล่าวถูกกระทำเกินกว่าเหตุจำนวนเท่าไหร่นั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในโรงเรียน
ด้านนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศธ. กล่าวว่า ตนขอสรุปประเด็นในการหารือทั้งสิ้น 3 ประเด็น คือ 1.เรื่องการดูแล เยียวยาเด็กและผู้ปกครอง โดยทางกรมสุขภาพจิตได้ให้ความร่วมเข้าดูแลเด็ก แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ปกครองและเด็กที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งจะมีการตรวจทั้งสุขภาพทางกายและจิตใน และกลุ่มเด็กภายในโรงเรียน ที่จะมีการจัดกิจรรมในเชิงสร้างสรรค์ ให้เด็กได้แสดงออกและปลดปล่อยความรู้สึก 2.การดำเนินการทางคดีที่เกี่ยวข้องที่จะดำเนินการกับผู้กระทำผิด ซึ่งไม่ได้เป็นครู เป็นเพียงพี่เลี้ยงเด็กเท่านั้น และทางโรงเรียนได้ให้ออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่แล้ว และ 3.สำหรับผู้ที่กระทำผิดคนอื่นๆ ทางโรงเรียนได้ให้ออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้มีการลงโทษและตักเตือนผู้ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ด้วย อีกทั้งโรงเรียนจะต้องปรับการบริหารจัดการโรงเรียนใหม่ ทั้งเรื่องงานวิชาการและงานบริหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารกลางวัน การเก็บค่าเล่าเรียน การรับครู ทางโรงเรียนจะต้องออกเป็นมาตรการเพื่อชี้แจ้งกับครู และผู้ปกครองเด็ก
ด้านนายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาฯ กช.) กล่าวว่า สช.ได้กำชับโรงเรียนว่ากล้องวงจรปิดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขอไปถือเป็นพยานวัตถุที่สามารถนำสืบทางคดีได้ ดังนั้นโรงเรียนห้ามทำลายหรือลบคลิปวิดีโอออกอย่างเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะมีความผิด ซึ่งต่อจากนี้ไปขอย้ำว่าครูเป็นวิชาชีพที่ถูกควบคุม ดังนั้นผู้ที่เข้าไปอยู่ในโรงเรียนเอกชนได้ต้องอาศัยหนังสืออนุญาตจากคุรุสภา คือ ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือหากใครไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพชั่วคราว 2 ปี รวมถึงหากมีนักศึกษาครูฝึกงานจะต้องมีใบอนุญาตปฏิบัติการสอนชั่วคราวระหว่างที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตัวจริง ดังนั้นหากตรวจพบว่าโรงเรียนแห่งนี้ปล่อยให้ครูที่ไม่มีอนุญาตฯมาสอนผู้ถือใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนเอกชนจะมีความผิดทางอาญาต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่เงินไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจากนี้ไป สช.จะออกแนวปฏิบัติให้โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศต้องแสดงใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูพร้อมเลขที่วันหมดอายุเปิดเผยอย่างสาธารณะ และแขวนไว้บนเว็บไซต์ของโรงเรียนด้วย รวมถึงติดแจ้งแสดงไว้หน้าห้องเรียนแต่ละชั้นเรียนด้วย
นายอรรถพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนยังได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองว่าโรงเรียนดังกล่าว ด้วยว่าทางโรงเรียนเปิดรับนักเรียนห้องเรียน English Program (EP) ต่อห้องจำนวน 34 คน ซึ่งจำนวนดังกล่าวถือว่าเป็นจำนวนรับนักเรียนเกินกว่าที่ สช.กำหนดไว้ที่ 25 คนต่อห้อง รวมถึงโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนอกเหนือจากค่าเล่าเรียนในห้องเรียน EP ซึ่งถือว่าผิดกฎระเบียบที่ สช.กำหนดให้เก็บค่าเล่าเรียนได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นตนจึงมอบหมายให้ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) นนทบุรี เข้าไปตรวจสอบแล้ว ขณะเดียวกันที่ผ่านมา สช.ยังได้รับเรื่องร้องเรียนโรงเรียนในเครือสารสาสน์ จำนวน 34 แห่ง จากทั้งหมด 45 แห่ง ว่า มีปัญหาบูลี่ การทำร้ายร่างกาย การจัดการเรียนการสอน และการเก็บค่าเล่าเรียน โดยในจำนวนนี้มี 23 แห่งที่มีการเปิดห้องเรียน EP ซึ่งสช.จะลงไปตรวจสอบด้วยว่าโรงเรียนมีการเปิดรับนักเรียนห้องเรียนดังกล่าวเกินกว่าจำนวนที่ สช.กำหนดไว้หรือไม่ ทั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ สช.จะตั้งคณะทำงานเอกซเรย์โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศว่ามีการกระทำความผิดข้อกำหนดของ สช.ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาการ และการบริหารจัดการโรงเรียน
เมื่อผู้สื่อข่าวถาม ว่า โรงเรียนมีความผิดจนต้องถูกปิดโรงเรียนหรือไม่ นายอรรถพล กล่าวว่า ถือว่าโรงเรียนเข้าข่ายกระทำความผิดแต่ด้วยกฎระเบียบโรงเรียนเอกชนมีการกำหนดระยะเวลาให้แก้ไขตั้งแต่ระยะเวลา 15 วันไปจนถึง 1 เดือน ซึ่งหากโรงเรียนแก้ไขไม่ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดก็จะมีบทลงโทษต่อไป
ด้านพ.ต.ท.มหพล มีเสน รองผู้กำกับการสอบสวน สถานีตำรวจภูธร (สภ.)ชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี กล่าวว่า ขณะนี้เบื้องต้นได้มีการสอบสวนผู้ปกครองของนักเรียนที่ถูกทำร้ายร่างกายจำนวน 8 รายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากนี้จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ โดยการขอภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงเรียนทั้งหมดมาตรวจสอบ รวมถึงการจะมีการสอบปากคำเด็กที่ถุกทำร้ายร่างกาย โดยจะมีทีมสหวิชาชีพ และผู้ปกครองเข้าร่วมในการสอบสวน เนื่องจากเป็นเด็กเยาวชน และเป็นเด็กเล็กตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนหลังจากนั้นจะเรียกทางพี่เลี้ยงจุ๋ม และผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป นอกจากนี้ ยังมีผู้ปกครองรายอื่นๆ ได้ทยอยขอลงบันทึกประจำวันเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดภายในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีดังกล่าว หากพี่เลี้ยงจุ๋มมีการกระทำความผิดจริง จะถือว่ามีความผิดทางอาญาในข้อหากระทำทำร้ายร่างกาย และจิตใจ ต้องระวางโทษ เพราะเป็นการสร้างความกระทบกระเทือนทั้งทางร่างกายและจิตใจของเด็ก