ถึงเวลา 'ทุนไทย-สร้างไทย' แล้ว


เพิ่มเพื่อน    

      ผมเคยบอก.......

      อีก ๕ ปี "ประเทศไทย" จะไม่เหมือนเดิม!

      ยัง "ยืนยัน" คำนั้น

      ฐานความเชื่อนี้ ไม่ได้มาจาก "รัฐบาล คสช."

      แต่สืบเนื่องจากผลงาน คสช.ผ่าน "โครงการ EEC" ที่ริเริ่ม ซึ่งตอนนี้ "ถอยหลังเป็นล้ม"

      หัวใจหลักอยู่ที่ "รถไฟความเร็วสูง"

      เชื่อม ๓+๑ "สนามบิน" หลัก

      "ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา"+"แอร์พอร์ตลิงก์" มักกะสัน

      ตาม TOR ที่ รฟท.ประกาศ............

      รถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน ระยะทาง ๒๒๖ กม.นี้ ระยะแรก งบลงทุน วงเงิน ๒ แสนล้านบาท

      เปิดให้นานาชาติ ทั้งนักลงทุนไทย-เทศ เข้าประมูลแบบ net cost

      คือ ใครเสนอผลประโยชน์สูงสุด เป็นผู้ชนะประมูล ด้วยสัมปทาน ๕๐ ปี

      เมื่อครบ ๕๐ ปี...........

      ทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่ารถไฟความเร็วสูง, สถานี, ที่ดิน ตกเป็น "ของรัฐ" ทั้งหมด!

      ตาม TOR ก่อสร้าง ๕ ปี ประมาณสิงหา-กันยานี้ จะต้องได้ตัวบริษัทที่ชนะประมูล และเซ็นสัญญากันปลายปี

      ลงมือสร้าง............

      ปี ๒๕๖๖ เสร็จ

      รถไฟความเร็วสูงเปิดวิ่ง "เชื่อม ๓ สนามบิน" ทันที!

      ด้วยสถานีรายทาง ๘ สถานี รวมแอร์พอร์ตลิงก์ด้วย เป็น ๙ สถานี

      ลองคิดร่วม "ไม่ใช่คิดทำลาย" ดูซิ ไม่หลับตาก็จะเห็น ว่าตอนนั้น       กรุงเทพฯ อันเป็นไข่แดง.........

      มี "ไข่ขาว" ที่กระจายขอบกว้างออกไปถึง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยา อู่ตะเภา

      อนาคต ไปถึง "ระยอง-จันทบุรี-ตราด"

      การเดินทางในชีวิตประจำวันของผู้คน จากที่จมนรกอยู่กับการจราจรจลาจลทั้งทางด่วน-ทางราบทุกวันนี้

      เมื่อปีที่ ๕ คือ พ.ศ.๒๕๖๖ มาถึง............

      รถไฟเชื่อม ๓ สนามบินเสร็จ

      ขณะเดียวกัน "รถไฟใต้ดิน-บนดิน" เป็นสิบสายในกรุงเทพฯ ก็เสร็จ      

      ประเทศไทย ที่มี "กรุงเทพฯ" เป็นศูนย์กลาง

      ............"เปลี่ยน" ทันที!

      ทุกวันนี้ พูดกันตรงๆ "การจราจร" เป็นตัวกำหนด "รูปแบบชีวิต" ทั้งถิ่นฐานที่อยู่-ที่ทำงาน-ที่เรียน ของคน

      เมื่อถนน "ในอากาศ-ในดิน" เสร็จสมบูรณ์ เชื่อมเข้าเป็นโครงข่ายใยแมงมุมกับใต้ดิน-บนดินทั้งหมด     เส้นทางคมนาคมเปลี่ยน...การจราจรเปลี่ยน

      แล้วชีวิตคน.........

      ไม่เปลี่ยน ก็ให้มันรู้ไป!

      ลึกๆ ในใจ ผมไม่ค่อยเชื่อ "เทอมเวลา-เทอมงาน" ของรัฐบาลซักเท่าไหร่

      ก็ขนาด "สนามบินสุวรรณภูมิ" เริ่มตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ มาเสร็จและเปิดใช้เอาปี ๒๕๔๙ นั่นแน่ะ!?

      ประเด็น ไฮสปีดเทรนเชื่อม ๓ สนามบินนี่เหมือนกัน

      ดูตาม TOR ผู้ชนะประมูล ต้อง "จ่ายเองก่อน-ทำให้เสร็จก่อน"

      รัฐบาลถึงจะจ่ายเงิน "สนับสนุนโครงการ" ตามสัญญาให้ทีหลัง!

      ก็เป็นแสนล้านนั่นแหละ!

      จะมีในส่วนรัฐบาลต้องจ่าย-ต้องทำ คือ "ค่าเวนคืน" ประมาณ ๓ พันกว่าล้าน

      สัญญาแบบนี้ก็ดีไปอย่าง ประหยัดงบประมาณ เอกชนรับผิดชอบความเสี่ยงเองทั้งหมด

      สัญญาระบุ ปี ๖๖ ต้องเสร็จ ไฮสปีดเทรนต้องวิ่ง ก็ต้องเสร็จ-ต้องวิ่ง

      ถ้าไม่เสร็จ ผู้ลงทุน คือเอกชน เป็นฝ่าย "เสร็จ" เอง

      แถมอดได้เงินหนุนจากรัฐด้วย!

      แต่ที่ผมหวั่น คือเกรงจะไม่มีเอกชนเข้ามาประมูล เพราะต้องลงทุนเองเกือบทั้งหมด

      ดูแล้ว แม้ ๑๐-๒๐ ปีแรก จะไม่ถอนทุน

      แต่อีก ๓๐ ปี ต่อจากนั้น บวกผลประโยชน์ในที่ดินมักกะสัน และศรีราชา

      ไม่เพียงถอนทุนหมด ยังจะกำไร+กำไรมหาศาล!

      แต่ก็ต้องแบ่งให้รัฐอีก ๕๐-๖๐% จากส่วนกำไร

      ก็ยังไม่มีวี่แวว ใครจะมาประมูล มีแต่ข่าว จีนสนใจ ญี่ปุ่นสนใจ ซีพี, ช.การช่าง, บีทีเอส และ ฯลฯ สนใจ

      เพิ่งเมื่อวาน (๒๕ เม.ย.๖๑) ปรากฏผู้สนใจลงทุนไฮสปีดเทรน เชื่อม ๓ สนามบิน เป็นตัว-เป็นตนจริงๆ รายแรก คือ

      บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)!

      ใช่...ไม่ผิดหรอก ปตท.บริษัทพลังงานไทยเรานี่แหละ มาในมาด "เสือซุ่ม"

      ตามที่เป็นข่าวโครมคราม.........

      คณะกรรมการ ปตท.มีมติเห็นชอบ ตามที่ "นายเทวินทร์ วงศ์วานิช" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เสนอให้ที่ประชุมอนุมัติ

      การ "ซื้อซองประมูล" โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ ท่าอากาศยาน ในเขตกรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC)

       คือ ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา

      วงเงินลงทุน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท!

      โดยมีอีก ๒ พันธมิตรร่วม "บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด" (มหาชน) หรือ BTS และ

      "บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด" (มหาชน) หรือ STEC

      บอร์ด ปตท.มีมติ "เห็นชอบ" ไปแล้ว!

      ก็...สะดุ้งกับข่าว..........

      ในแง่ ไม่คิดว่า ปตท.จะก้าวข้ามไปอีกสายพันธุ์ธุรกิจหนึ่ง แต่ก็ไม่แปลกใจ

      เพราะถ้าศึกษาเข้าไปถึง "บุคลากร" ในองค์กร ปตท.ต้องยอมรับกันว่า ระดับบริหารแต่ละองค์กร

      "หัวกะทิ" ประเทศ อัดแน่นอยู่ในนั้น!

      แต่ละคน ถึงขั้น "ทรัพยากรบุคคล" สังคมชาติ ผ่านทั้งวิชาการและปฏิบัติการสัมฤทธิผล

      ที่ ปตท. "รัฐวิสาหกิจไทย" ติดอันดับ ๙๕ ใน ๕๐๐ บริษัท "ยักษ์ใหญ่" ของโลก

      ไปถึงขั้นนั้นได้ เถียงไม่ได้ ว่าไม่ใช่......

      "วิสัยทัศน์" ผู้บริหาร!

      ไม่เพียงที่ ปตท.หลายองค์กรใหญ่ของไทย ระดับบริหารอย่างที่ SCG ชื่อใหม่ของ "ปูนซิเมนต์ไทย"

      ที่แบงก์ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย เจริญโภคภัณฑ์ กระทั่งออมสินทุกวันนี้ และอีกมากแห่ง

      เท่าที่ผมสังเกต วิวัฒนาการในเส้นทาง "โลกเปลี่ยน" ของเขา.......

      เขาปรับด้วยสรรค์สร้างความเติบ-ความแกร่ง ให้แต่ละองค์กร

      มีผลด้านผลักดัน "แบรนด์ไทย" แกร่งในสากล

      มีสีสันในความหมาย "ทางไป" สู่อนาคตใหม่มากทีเดียว!

      อย่าง ปตท. .........

      ที่เกิดจากการควบรวม ๒ องค์กรภาครัฐ คือ "องค์การเชื้อเพลิง" ของกระทรวงกลาโหม

      และ "องค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย" ของ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม

      จากเดิมที่เหมือน "ผีถึงป่าช้า" ก็ยังหาพระบังสุกุลไม่ได้ มาวันนี้ โตใหญ่ด้วยธุรกิจเป็นล้านล้าน ใหญ่อันดับโลก

      ในแผนพัฒนา EEC นี้

      ปตท.ลงทุน "ต่อยอด" เชิงนวัตกรรมธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเลียมขึ้นไปสู่ปิโตรเคมีชั้นสูง นับเป็นจ้าวภูมิภาค

      จู่ๆ เงียบกริบ

      ไม่มีใครระแคะ-ระคาย ปตท.แตกยอดใหม่ จากพลังงานปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ

      สู่เส้นทางคมนาคม ในภาคธุรกิจ "รถไฟความเร็วสูง"!

      ถึงแค่ขั้น "ซื้อซอง" ซึ่งยังห่างไกลที่จะบอกว่า "เข้าประมูล" และจะได้หรือไม่ได้

      แต่การที่ไม่แค่สนใจ หากแต่ "ตัดสินใจ" ซื้อซองประมูลมาศึกษาเลยนั้น

      นั่นคือ สิ่งบ่งบอก "วิสัยทัศน์-โลกทัศน์" ผู้บริหาร สมกับความเป็นองค์กร "ธุรกิจนำชาติ" แล้ว

      ดูตาม TOR..............

      งานนี้ ออกแบบมาเน้น "บริษัทไทย-ของไทย" มากกว่ามุ่งเน้นให้บริษัทต่างชาติเข้ามาสัมปทาน

      การต้องใช้วิศวกรไทย อุปกรณ์ไทย และแรงงานที่ต้องเป็นคนไทยระดับ ๘๐-๙๐% เป็นต้น

      ตามข่าวสาร แรกๆ ว่า ซีพี กับกลุ่มบีทีเอส และซิโน-ไทย จะร่วมทุนกันประมูล

      แต่เอาเข้าจริง จากซีพี กลับกลายเป็น ปตท. แต่ก็ไทยเหมือนกัน ซึ่งดูแล้ว "ลงตัว"

      ปตท.ชำนาญเงิน บีทีเอส ชำนาญเดินรถ ซิโน-ไทยชำนาญสร้าง รวม ๓ ชำนาญเข้าด้วยกัน "เติมเต็ม-เติมขาด" ได้พอดี

      ดูแล้ว งานประมูลรถไฟความเร็วสูง ๓ สนามบินนี้ ท่าจะสนุก ถ้าได้เห็นอีกเจ้า-สองเจ้า

      แต่ลงท้ายแล้ว ไม่ว่าใครจะได้ ไทยหรือเทศ

      เรื่องแรกที่กระทรวงศึกษาฯ ของ "หมอธี" ต้องทำแต่เดี๋ยวนี้ คือ ถือวิกฤติในวงการศึกษาเป็นโอกาสสู่ "เส้นทางสายเปลี่ยน"

      โหมประโคมให้สถาบันอาชีวะ เปิดหลักสูตรด้าน "รถไฟฟ้า" กันให้มากๆ

      มีหลายแขนง-หลายสาขา ที่ต่อจากนี้ เราต้องใช้บุคลากรระดับวิชาชีพมาก ไม่ใช่แรงงาน

      อีก ๕ ปี แป๊บเดียว.........

      ขืนครู-อาจารย์ อ้อยอิ่งเอาแต่โกงงบกันอยู่อย่างนี้ ถึงวันนั้น ต้องใช้แรงงานฝีมือพม่า-เขมรอีกละมัง?

      แต่ก็เห็นตื่นตัวกันอยู่ หลายสถาบันเปิดสอนสาขานี้ โละบางคณะ-บางวิชาตามมหาวิทยาลัยบ้างก็จะดี

      เปลี่ยนหลักสูตรเป็นวิชาชีพ ให้จบแล้วเลี้ยงควายเป็น จึงนับเป็น "คุณสมบัติ" บุคคล ที่จะเข้าไปเป็นนักการเมืองได้!

      สร้างประเทศ ต้องเพาะที่ราก คือเยาวชน

      สร้างหายนะ ต้องเพาะที่เชื้อรา คือนักเลือกตั้ง

      กับการ "สร้างบ้าน-สร้างเมือง" ตอนนี้.......

      "ทุนไทย" นี่แหละดีที่สุด รวยกันที่สุด แต่ไม่รู้จะเอาที่รวยไปทำอะไร

      ก็เอา "ก้อนใหญ่ๆ" ลงทุนในไทยเรานี่แหละ ถูกสมัย ถูกกาล-ถูกเวลา ที่สุดแล้ว!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"