เมื่อ 'สี จิ้นผิง' อ้าง สุภาษิตฝรั่งสอนทรัมป์!


เพิ่มเพื่อน    

 

         สหประชาชาติกลายเป็นเวทีมวยคู่ยักษ์!

            แทนที่องค์กรโลกแห่งนี้จะเป็นจุดของการไกล่เกลี่ยแก้ไขความขัดแย้ง ดังที่เป็นจุดประสงค์ตอนที่ตั้งขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

            แต่วันนี้ยูเอ็นกลายเป็น "เป็ดง่อย" ไปโดยสิ้นเชิง

            วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ทรัมป์ "ฟาดปาก" ทางออนไลน์กับสี จิ้นผิง ในเวทีที่ควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความสมานฉันท์!

            ประชุมสมัชชาใหญ่ของยูเอ็นปีนี้ต้องทำกันทางออนไลน์เพราะโควิด-19

            ทรัมป์ส่งคลิปวิดีโอมาซัดจีนว่าเป็นผู้ปล่อยเชื้อโคโรนาไวรัสตัวนี้ออกมาอาละวาดไปทั่วโลก

            ทรัมป์ไม่ลังเลที่จะเรียกมันว่า The Chinese Virus

            และเรียกร้องให้องค์กรโลกแห่งนี้จัดการกับประเทศที่สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา

            ส่วนคลิปวิดีโอของสี จิ้นผิงก็ตามทรัมป์มาติดๆ ด้วยประโยคสุดแสบสัน แซะทรัมป์อย่างไม่ไว้หน้าเหมือนกัน

            "ใครที่เอาหัวซุกในทรายเหมือนนกกระจอกเทศ หรือชูทวนฟาดฟันอากาศธาตุเหมือน Don  Quixote กำลังทำตัวสวนทางประวัติศาสตร์"

            สี จิ้นผิงไม่ได้อ้างตำนานจีน หากแต่หันไปตบหน้าทรัมป์ด้วยการกล่าวถึงวรรณกรรมและสุภาษิตฝรั่ง

            เพื่อเตือนให้สหรัฐฯ เห็นว่าวันนี้ผู้นำจีนกำลังเป็นคนสากล อ้างเอ่ยสิ่งต่างๆ ที่เป็นสากลได้ ไม่จำเป็นต้องมองอะไรจากแง่มุมของจีนเท่านั้น

            ขณะที่ทรัมป์เอาสหรัฐฯ ถอยฉากจากเวทีโลก เน้นเรื่องอเมริกาต้องมาก่อน (America First) สี จิ้นผิงกลับวางตัวเป็นผู้นำของประชาคมโลกที่ไม่เน้นผลประโยชน์ของจีนแต่เพียงฝ่ายเดียว

            แม้ว่าลึกๆ แล้วปักกิ่งก็ย่อมจะมุ่งหวังสร้างความได้เปรียบเพื่อจีนเช่นกัน

            เพียงแต่ลีลาและแนวทางของจีนวันนี้เนียนและนุ่มกว่าทรัมป์หลายเท่า

            สี จิ้นผิงยืนยันว่า "เราต้องปฏิเสธความพยายามที่จะทำให้เรื่องไวรัสเป็นประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ...เราอยู่ในโลกที่เหมือนหมู่บ้านเดียวกัน โควิดคือวิกฤติที่กระทบทุกประเทศ ไม่ควรที่ใครจะหาประโยชน์จากความทุกข์ของคนอื่น หรือสร้างความได้เปรียบจากความยากลำบากของประเทศอื่น..."

            ไม่ต้องระบุชื่อประเทศใดก็เป็นที่รู้กันว่า ทรัมป์กับสี จิ้นผิงถอดนวมแลกหมัดด้วยกำปั้นกันแล้ว

            ทรัมป์อ้างความสำเร็จของการโดดเดี่ยวอิหร่าน, การถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน และการประสานให้อิสราเอลตกลงสันติภาพกับยูเออีและบาห์เรน

            สี จิ้นผิงอ้างความสำเร็จของจีนในการยื่นมือสร้างความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และพร้อมจะร่วมกันวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิดเพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลก

            เลขาธิการสหประชาชาติ อังโตนิโอ กูเตอร์เรส เตือนว่าหากโลกไม่หาทางขจัดความขัดแย้งก็อาจจะเกิด "สงครามเย็นรอบสอง" ที่น่ากลัวได้

            จีนบอกว่าไม่ต้องการเห็นสงครามเย็นรอบใหม่

            แต่ในคำปราศรัยนั้นสี จิ้นผิงไม่ได้กล่าวถึงความขัดแย้งในทะเลจีนใต้, เรื่องฮ่องกง, ไต้หวัน หรือประเด็นชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง ที่ถูกตะวันตกกล่าวหาว่าจีนได้จับเอาคนมุสลิมเป็นล้านคนเข้า  "ค่ายล้างสมอง"

            ปักกิ่งยืนยันว่าเป็นการจัดให้มีการฝึกอบรมอาชีพและสอนให้เป็นพลเมืองดีเท่านั้น

            สหรัฐฯ พยายามบอกว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อสกัดการขยายอิทธิพลของจีน ที่วอชิงตันเห็นว่าเป็น  "ภัยคุกคามต่อโลก"

            ถามว่าองค์การสหประชาชาติที่ตั้งขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ 75 ปีก่อนทำอะไรไม่ได้เลยหรือ ในอันที่จะให้สองยักษ์ใหญ่ได้พูดคุยหาทางร่วมมือกัน แทนที่จะยกระดับความตึงเครียดอันจะกระทบไปทั้งโลก

            คำตอบคือ...สิ้นหวังครับ

            ยิ่งถ้าหากเกิด "สงครามเย็นโลกครั้งที่สอง" ขึ้น ก็ยิ่งจะตอกย้ำว่าสหประชาชาติกลายเป็น "เสือกระดาษ" โดยสิ้นเชิง

            เพราะนอกจากจะไม่สามารถป้องกันความขัดแย้งไม่ให้บานปลายกลายเป็นสงครามในรูปแบบต่างๆ ได้แล้ว ซ้ำยังถูกมองว่าเป็นต้นตอของการสร้างความเหิมเกริมให้ประเทศมหาอำนาจกระทำใดๆ ที่ละเมิดหลักการยูเอ็น โดยไม่สนใจว่าจะต้องแสดงความรับผิดชอบหรือไม่อีกด้วย.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"